ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมชลประทาน และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพของประชาชน (EHIA) และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียจากโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดแล้วให้เสนอขอความเห็นชอบต่อที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่อีกครั้งก่อนดำเนินการ
คดีนี้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนร่วมกับชาวบ้านในจังหวัดนครสวรรค์รวม 151 คน ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี, อธิบดีกรมชลประทาน และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อคัดค้านการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ เนื่องจากไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายก่อนที่จะเสนอให้ ครม.อนุมัติ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ
ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ดำเนินการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม (EIA) และสุขภาพของประชาชน (EHIA) และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ตามขั้นตอนของมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนอนุมัติ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองสูงสุด วินิจฉัยว่า โครงการเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ในข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ (EHIA) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภท ขนาด และวิธีปฏิบัติสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ที่จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น การที่ ครม.จะมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้เกิดโครงการเขื่อนแม่วงก์ได้ก็ต่อเมื่อโครงการดังกล่าวได้มีการจัดทำรายงาน EHIA จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งได้ให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถานอุดมศึกษาที่จัดการด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติหรือด้านสุขภาพ ให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินโครงการดังกล่าว