ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยของประชาชน และเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการยกระดับประเทศไทย สู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก (Thailand Vision)
โดยรายละเอียดของแต่ละมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ มีดังนี้
1. การปรับปรุงมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม สำหรับที่อยู่อาศัย ปี 2567
โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01% เฉพาะที่จดทะเบียนโอนในคราวเดียวกัน สำหรับการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน
ทั้งนี้ สำหรับผู้ซื้อที่เป็นบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธ.ค.67
2. มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน
กำหนดให้บุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) หักลดหย่อนค่าจ้างก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้รับจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าจ้างตามสัญญาจ้างตั้งแต่วันนี้ (9 เม.ย.67) ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 โดยให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วจะหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 1 แสนบาท เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง ในปีภาษีที่ก่อสร้างบ้านเสร็จ ตามสัญญาจ้างที่ได้กระทำขึ้นและเริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันนี้ (9 เม.ย.67) ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 68 และได้เสียอากรแสตมป์โดยวิธีการชำระอากรเป็นตัวเงินผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
3. โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท
โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุด ไม่เกิน 3 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 ธ.ค.68 หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
4. โครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท
โดย ธอส. สนับสนุนสินเชื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อม ปลูกสร้างอาคาร เพื่อต่อเติม ขยาย หรือซ่อมแซมอาคาร หรือไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.98% ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป โดยประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถยื่นคำขอกู้กับ ธอส. ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่า ธอส. ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงินของโครงการ
5. การให้การส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI)
คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกประกาศที่ ส. 1/2567 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2567 ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน ไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข เช่น
1) ที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริม กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร และกรณีบ้านเดี่ยวหรือบ้านแถว ต้องพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร
2) การก่อสร้างที่อยู่อาศัย ที่ขอรับการส่งเสริมต้องจำหน่ายให้บุคคลธรรมดาเท่านั้น โดยก่อสร้างที่อยู่อาศัย (รวมค่าที่ดิน) ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
3) ต้องมีที่อยู่อาศัยตามเงื่อนไขที่กำหนดไม่น้อยกว่า 80% ของที่อยู่อาศัยทั้งโครงการ
4) มีแผนผังและแบบแปลน ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และได้รับการอนุญาตก่อสร้างอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
5) ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2568
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง เปิดเผยว่า การจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ผ่านมา ในช่วงไตรมาส 4/2566 การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 8.8% ถือว่าเป็นสัญญาณของการลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งต่างจากในช่วงปกติที่จะขยายตัวมาโดยตลอด
"เมื่อไตรมาส 4/2566 ภาคอสังหาฯ หดตัว 8.8% จากปกติที่เคยเป็นบวกมาตลอด ดังนั้น จึงเห็นสัญญาณที่ชัดเจน จึงได้มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ เพื่อให้ ครม.ได้พิจารณาเห็นชอบในวันนี้" นายกฤษฎา ระบุ
รมช.คลัง กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ซึ่งมีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ Thailand Vision ในการยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ที่มีเป้าหมายในการดึงดูดนักลงทุนและผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้มาลงทุนในประเทศไทย รวมถึงการปรับกระบวนการทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการถือครองทรัพย์สิน
ดังนั้น ครม.จึงได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ไปดำเนินการพิจารณา ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการซึ่งจะได้นำเสนอกลับมาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
"เรื่องนี้เคยมีการพิจารณามาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งตอนนี้ยังใช้อยู่กับภาคพาณิชย์และอุตสาหกรรม ซึ่งมีการขยายให้เช่าได้ถึง 100 ปี ซึ่งก็คงมีการพิจารณาตามแนวทางนี้ สิ่งที่กระทรวงการคลังอยากเห็น คือ ให้ได้ยาวที่สุด แต่อยู่ภายใต้กฎหมาย และความมั่นคง ซึ่งต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนให้ต่างชาติถือครองเกิน 49% หรือไม่ เรื่องนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องหารือกันก่อน แต่การพูดคุยในที่ประชุม ครม. ในวันนี้เป็นการพูดคุยในเรื่องระยะเวลา ไม่ใช่เรื่องสัดส่วนการถือครอง" นายกฤษฎา กล่าว
ด้านนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เหตุผลที่มีการขยายเพดานการโอนและการชำระค่าธรรมเนียมอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 3 ล้านบาทเป็น 7 ล้านบาท เนื่องจากจำนวนอสังหาริมทรัพย์ ที่เหลือที่เหลือในไตรมาสที่ 4/2566 จะเหลืออยู่ประมาณ 251,000 หน่วย เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทไม่เกิน 20% ซึ่งใกล้จะเต็มแล้ว และพบว่า ความต้องการของประชาชนที่ต้องการหาอสังหาริมทรัพย์ในราคา 3-7 ล้าน มีอยู่ถึง 40% แต่เมื่อรวมกันแล้ว จะมีอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทรวมแล้ว 80% หรือ 200,000 กว่าล้านหน่วย ซึ่งสามารถรองรับให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยได้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังสูง และในช่วงที่แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจน จึงใช้มาตรการลดหย่อน มาช่วยเหลือให้ค่าใช้จ่ายประชาชนลดลง
สำหรับรายได้ที่สูญเสียในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องลดค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 2,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามท้องถิ่นจะได้ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้น
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Chain) ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ อันจะก่อให้เกิด การจ้างงาน การผลิต รวมถึงอาจก่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม
โดยกระทรวงการคลังประเมินว่า จะมีผลช่วยกระตุ้น GDP ในปีนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกราว 1.7-1.8% ขณะที่การสูญเสียรายได้ จะเป็นในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในส่วนของการจัดเก็บรายได้ค่าธรรมเนียมที่คาดว่าจะลดลงราว 2 พันล้านบาท/เดือน แต่ทั้งนี้ อปท.จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารออมสิน ยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ อีก 2 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อบ้านออมสินเพื่อประชาชน วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท
โดยสนับสนุนสินเชื่อสำหรับบุคคลทั่วไป เพื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุด หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.95% ต่อปี โดยปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 1.95% วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด ไม่เกิน 7 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี พร้อมเงื่อนไขเงินงวดผ่อนชำระต่ำพิเศษ เริ่มต้น 2,500 บาทต่อเดือน โดยสามารถยื่นคำขอกู้กับธนาคารออมสินได้ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.67 ถึง วันที่ 30 ธ.ค.67
2) โครงการสินเชื่อ D-HOME สำหรับผู้ประกอบการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงินโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยสนับสนุนสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการนำไปเป็นเงินลงทุน ได้แก่ ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าพัฒนาสาธารณูปโภค หรือเป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.50% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 4 ปี ฟรีค่าธรรมเนียม โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้กับธนาคารออมสินตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.67 เป็นต้นไป