สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดประชุมคณะกรรมการ ส.อ.ท. ครั้งที่ 3/2567 เพื่อลงมติเลือกประธานส.อ.ท. คนที่ 17 วาระปี 2567-2569 โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ เลือกนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2
โดยขั้นตอนการเลือกตั้งนั้น ที่ประชุมได้ให้นายทวี ปิยะพัฒนา ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสุด ทำหน้าที่ประธานดำเนินการเลือกตั้ง หลังจากเปิดให้สมาชิกนำเสนอชื่อแล้ว นายวิวัฒน์ เหมมณฑารพ ได้เสนอชื่อนายเกรียงไกร โดยไม่มีสมาชิกเสนอชื่อบุคคลอื่น โดยที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่ให้การรับรอง
นายเกรียงไกร กล่าวว่า หลังจากได้รับเลือกเป็นประธาน ส.อ.ท. ในวาระ 2 ก็จะสานต่อนโยบาย OneFTI ต่อจากช่วงวาระแรกที่เป็นช่วงวางรากฐาน จัดเตรียมบุคลากร และจัดกระบวนทัพ โดยจะดำเนินโครงการต่างๆ ให้เข้มข้นมากขึ้น
โดยเรื่องเร่งด่วนที่จะดำเนินการ คือ การแก้ไขปัญหาการทุ่มตลาดสินค้าด้อยคุณภาพ ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ทั้งนี้ พบว่ามีอุตสาหกรรม 26 สาขา จาก 46 สาขาได้รับผลกระทบแล้ว โดยจะประสานกับทุกภาคส่วน เพื่อหามาตรการแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น
"บางอุตสาหกรรมต้องหยุดผลิต เพราะสินค้านำเข้าราคาถูกกว่า ซึ่งเมื่อหยุดไปแล้ว คิดว่าโอกาสที่จะกลับมา แทบจะไม่มี" นายเกรียงไกร กล่าว
ส่วนระยะยาวจะเพิ่มขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมทุกกลุ่มให้ขยับขยายไปสู่อุตสาหกรรม S-Curve
นายเกรียงไกร ยังกล่าวถึงการบริหาร ส.อ.ท. ว่า จะมีการปรับโครงสร้างใหม่ให้กระชับมากขึ้น จะปรับเปลี่ยนตัวทีมงานบางคน และอาจเพิ่มสายงานใหม่ เช่น อุตสาหกรรมกีฬา อุตสาหกรรมครีเอทีฟ และอุตสาหกรรมออกแบบ เป็นต้น
นอกจากนี้ นโยบายใน 2 ปีข้างหน้านี้ จะให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้กับ SMEs อย่างจริงจัง โดยร่วมมือกับภาครัฐในการหามาตรการต่างๆ ที่จะช่วยผลักดัน SMEs ทั่วประเทศในการเปลี่ยนผ่านจาก SMEs ธรรมดาสู่ "Smart SMEs" ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา ทำได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมี 3 ส่วนที่ให้ความสำคัญ ได้แก่ 1. Go Digital ล่าสุดได้สั่งการให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลของ ส.อ.ท. เตรียมแพ็กเกจโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ ภายใต้โครงการ "Digital One" เพื่อช่วยยกระดับ SMEs ทั่วประเทศ เช่น โปรแกรมด้านการผลิต ด้านการบัญชี และด้านการควบคุมต่างๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย โดยทุกโปรแกรมจากแพ็กเกจหลักแสน จะลดเหลือเพียง 1,110 บาท เพื่อให้ SMEs สามารถจับต้องและเป็นเจ้าของได้ และนำไปพัฒนาตัวเองได้ทันที นี่เป็นนโยบายเชิงรุก ที่จะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอี (Smart SMEs) ได้เร็วขึ้น 2. Go Innovation เป็น SMEs "จิ๋วแต่แจ๋ว" ด้วยนวัตกรรมซึ่งจะคล้ายกับ SMEs ของไต้หวัน และอิสราเอล ล่าสุด ส.อ.ท. ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมที่เรียกว่า "Innovation One" โดย อว. ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และส.อ.ท. สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุน SMEs และสตาร์ทอัพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และจะบุกเต็มที่ใน 2 ปีนี้ 3. Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็น SMEs ที่เป็นซัพพลายเชนของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่างๆ "ทั้ง 3 Go เป็นนโยบายใหม่ ที่จะมาเสริมนโยบาย ONE FTI ซึ่งหากทำตามแผนตามยุทธศาสตร์นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคการผลิตของไทย สามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น" นายเกรียงไกร ระบุ