นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า ขณะนี้หลายพื้นที่ประสบปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนอย่างมาก ทำให้สุกรปรับสภาพไม่ทัน และในบางพื้นยังมีพายุฤดูร้อน ฝนฟ้าคะนอง และมีลูกเห็บตกซ้ำเติม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพสุกรเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดอัตราเสียหายสูงขึ้นอีก
"ปกติอากาศร้อนก็ทำให้สุกรโตช้า จากความเครียด ที่ทำให้กินอาหารน้อยลงอยู่แล้ว เมื่อต้องมาประสบกับสภาพอากาศแปรปรวน ยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสุกร โดยเฉพาะในลูกสุกรแรกคลอด และแม่สุกรช่วงปลายของการอุ้มท้อง โดยลูกสุกรจะมีสภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย ด้านแม่สุกรเกิดความเครียด ซึ่งบางส่วนอาจถึงกับเกิดภาวะแท้ง ทำให้ผลผลิตสุกรเกิดความเสียหาย และมีปริมาณลดลง อัตราการสูญเสียในฟาร์มสูงกว่า 30-40%" นายสุนทราภรณ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ปัจจุบันต้นทุนการเลี้ยงของเกษตรกรรายย่อยในภาคเหนือสูงถึง 82-85 บาท/กิโลกรัม ส่วนต้นทุนการเลี้ยงเฉลี่ยทั่วประเทศของผู้เลี้ยงรายย่อยอยู่ที่ 78-80 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ประกาศราคาสุกรหน้าฟาร์ม โดยสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ล่าสุดอยู่ที่ 70-75 บาท/กิโลกรัม ตามอุปสงค์-อุปทาน แต่เกษตรกรขายได้จริงเพียง 65 บาท/กิโลกรัมเท่านั้น ผู้เลี้ยงสุกรจึงยังคงอยู่ในภาวะขาดทุนสูง หากผลผลิตถูกกดราคาเช่นนี้ เกษตรกรเลี้ยงสุกรต่อไปไม่รอดแน่นอน
นอกจากนี้ หากเกษตรกรมีการจัดการป้องกันโรคไม่ดี ต้นทุนจะสูงขึ้นมากกว่า 80 บาท/กิโลกรัม และในฟาร์มที่ประสบปัญหาภัยแล้งน้ำไม่พอใช้ จนต้องซื้อน้ำใช้
"ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึง ปัญหานี้ยิ่งชัดเจนขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการเลี้ยง สูงกว่าในปัจจุบัน จึงมีความเป็นไปได้ที่เกษตรกรอาจตัดสินใจหยุดเลี้ยง ผู้เลี้ยงหวังเพียงให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี เพื่อต่อลมหายใจของเกษตรกรต่อไป" นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ ระบุ
นายสุนทราภรณ์ กล่าวว่า ปัญหาความแห้งแล้ง ไม่เพียงกระทบกับปริมาณน้ำให้สุกรกินมีไม่เพียงพอเท่านั้น ยังตามมาด้วยปัญหาคุณภาพน้ำที่แย่ลง มีความสกปรกสูง สุกรที่กินน้ำสกปรกมีโอกาสท้องร่วงมากขึ้น ขณะเดียวกัน โรคสำคัญในสุกรยังคงมีอยู่ ทั้งปัญหาต่อเนื่องจากโรคอหิวาแอฟริกาในสุกร (ASF) และโรคท้องร่วงติดต่อในสุกร (PED) ที่พบมากในช่วงฤดูกาลนี้ ปัญหาดังกล่าว สร้างความเสียหายค่อนข้างมากในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร