ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ระดับ 36.50-37.00 บาทต่อดอลลาร์ฯในสัปดาห์ถัดไป (13-17 พ.ค.) ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์เงินเยนและราคาทองคำในตลาดโลก ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย. ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนพ.ค. รวมถึงตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ตลาดอาจรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/2567 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน อัตราเงินเฟ้อเดือนเม.ย. ของยูโรโซน และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเม.ย.ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ด้วยเช่นกัน
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าสวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่าตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้น- กลางสัปดาห์ตามภาพรวมของสกุลเงินในภูมิภาค นำโดย เงินหยวนและเงินเยน ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งสะท้อนแนวโน้มการยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน อย่างไรก็ดีเงินบาททยอยฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาในช่วงปลายสัปดาห์
ขณะที่ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดกดดันเงินดอลลาร์ฯ ให้อ่อนค่าลงพร้อมๆ กับการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ นอกจากนี้เงินบาทยังมีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกด้วยเช่นกัน
ในวันศุกร์ที่ 10 พ.ค. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 36.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (3 พ.ค. 67)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 7-10 พ.ค. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 1,597 ล้านบาท แต่มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 437 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 2,567 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 2,130 ล้านบาท)