นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง มอบนโยบายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ว่า สศค. ถือเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นมันสมองในการกำหนดทิศทางนโยบายการคลังของประเทศ โดยได้ขอให้หน่วยงานมีทัศนคติในการคิดนอกกรอบ เพราะการกำหนดนโยบายการคลังภายใต้กรอบจะทำให้เศรษฐกิจเดินไปไม่ได้ ย่ำอยู่ที่เดิม ดังนั้น ต้องคิดนอกกรอบ และถ้ากรอบไหนมีปัญหา ก็ค่อยมาแก้ไขกรอบนั้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โดย รมช.คลัง ได้มอบนโยบายที่สำคัญ 4 ข้อ ดังนี้
1. สศค. อยู่ในฐานะที่เป็นหน่วยงานมันสมอง ต้องคิดนอกกรอบ
2. สศค. เป็นหน่วยงานมันสมอง ที่ต้องปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย ปรับตัวในเชิงนโยบาย
3. สศค. ต้องเป็นมันสมองที่เชื่อมโยงกับประชาชน กับความกินดีอยู่ดีของประชาชน ไม่เป็นหน่วยงานที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ต้องลงพื้นที่สัมผัสความเป็นอยู่และความเดือดร้อนของประชาชนด้วย
4. สศค. ต้องเป็นมันสมองที่มีความสมดุลในหลักวิชาการ กับความเป็นจริงในสังคม ไม่กำหนดนโยบายโดยใช้หลักวิชาการเพียงอย่างเดียว โดยไม่อิงกับความเป็นจริง
นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ยังได้มอบนโยบายให้กับส่วนงานภายใต้สังกัด สศค. แบ่งเป็น
- กองนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จะต้องอุดช่องว่างทางการเงิน ทำในสิ่งที่ธนาคารพาณิชย์ไม่อยากทำ และรับความเสี่ยงได้จำกัด รวมทั้งได้ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน เรื่องนี้ต้องให้น้ำหนักมากกว่าต้นทุนในการเข้าถึงสินเชื่อ ในส่วนการเงินภาคประชาชนนั้น ได้ให้ความสำคัญกับพิโกไฟแนนซ์ เพราะเป็นกลไกที่แข่งขันกับเจ้าหนี้นอกระบบได้เป็นอย่างดี ซึ่งพยายามดึงเจ้าหนี้นอกระบบมาเป็นพิโกไฟแนนซ์ และถือเป็นกลไกให้กับประชาชนรายเล็กสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
ส่วนประเด็นเรื่องธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศไปแล้ว ซึ่งไม่ได้กำหนดจำนวนราย แต่มีการกำหนดเงื่อนไขการดำเนินงานนั้น ได้สั่งการไปว่า สศค. ต้องยืนในหลักการนี้ ไม่ควรมีการจำกัดจำนวนราย โดยใช้ความสามารถในการกำกับเป็นที่ตั้ง
"การกำกับดูแลธนาคารไร้สาขา เป็นหน้าที่ของ ธปท. แต่ประกาศของกระทรวงการคลัง ก็ชัดเจนว่าไม่ได้มีการจำกัดจำนวน เราดูตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในประกาศ ไม่ควรตั้งเป้าหมายไว้ก่อนว่าจะเอากี่ราย และไปให้ใบอนุญาตเพียงเท่านั้น ข่าวที่ออกไปว่าจะมีการให้ใบอนุญาตเพียง 3 ราย เพราะเหมาะสมสำหรับเศรษฐกิจประเทศในปัจจุบัน แต่ทางคลังเขียนชัดในประกาศว่า ไม่จำกัดจำนวนราย ซึ่งได้ให้นโยบายกับ สศค. ไปว่าจะต้องยืนในหลักการนี้" นายเผ่าภูมิ กล่าว
- กองภาษี ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษี ใน 3 ประเด็นหลัก คือ อัตราภาษี ฐานภาษี และการขยายเศรษฐกิจให้เติบโต เพื่อนำไปสู่การจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่เปราะบาง และภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงทรงตัว ควรให้ความสำคัญกับการขยายฐานภาษี และการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว มากกว่าการที่จะไปโฟกัสเรื่องอัตราการจัดเก็บภาษี
- กองการออม โดยมอบนโยบายว่าขอให้ให้ความสำคัญเรื่องสภาวะของคนไทยที่แก่และจน ไม่มีเงินออม ซึ่งปัจจุบันเราใช้กลไกการออมภาคสมัครใจ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม ส่วนที่เป็นการออมภาคบังคับที่ให้เอกชนร่วมจ่าย ก็กระทบกระเทือนเศรษฐกิจ ดังนั้นกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการการออมโดยการสร้างแรงจูงใจ ที่เตรียมจะออกมาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งยืนยันว่าจะมีความตื่นเต้นกว่าระบบการออมที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่เชิงกลไกการออม แต่เป็นเรื่องในเชิงนโยบาย
"การขยายฐานภาษีนั้น ปัจจุบัน ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องประชาชนที่อยู่นอกฐานภาษีเยอะ มีเศรษฐกิจนอกระบบเยอะ ดังนั้นวิธีการในการดึงคนเข้าสู่ระบบ จึงเป็นเรื่องสำคัญ กลไกต่าง ๆ มีมากมาย ส่วนเรื่องอัตราภาษีนั้น หากเราไปยุ่งกับอัตราภาษี จะมีผลกระทบเยอะ สู้กระทรวงการคลังดึงคนเข้าระบบฐานภาษีด้วยแรงจูงใจ ความถูกต้อง และสามัญสำนึก น่าจะเป็นผลดีกับระบบเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า" รมช.คลัง ระบุ
- กองเศรษฐกิจมหภาค ได้มอบนโยบายว่าควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโมเดลในการประเมินภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง สศค. ได้รับการยกย่องเป็นอันดับ 1 ของโมเดลในการนำมาใช้ในการประมาณการเศรษฐกิจได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด แต่ก็ต้องมีการพัฒนาต่อไปให้มีความใกล้เคียงความจริงมากขึ้น ทั้งการพัฒนาโมเดล และบุคคลากร
รมช.คลัง กล่าวอีกว่า สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังที่จะได้เห็น คือ เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่จะถูกผลักดันเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านงบประมาณปี 2567 จะเข้าไปทั้งก้อนในระยะเวลา 5 เดือนนี้, งบประมาณปี 2568 จะเข้ามาอีกก้อนใหญ่ในช่วง ต.ค. 2567 และยังมีเม็ดเงินจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะเข้ามาในช่วงปลายปี ทำให้คาดหวังได้ว่าเศรษฐกิจจะเริ่มผงกหัวขึ้น ส่วนเม็ดเงินจากทั้ง 3 ก้อนจะทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจขยายตัวได้มากกว่าประมาณการที่ 2.4% หรือไม่นั้น นายเผ่าภูมิ ระบุว่า คาดการณ์อย่างนั้น
อย่างไรก็ดี เร็ว ๆ นี้ กระทรวงการคลัง เตรียมจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณามาตรการสินเชื่อสำหรับเมืองรอง และมาตรการสินเชื่อเพื่อสนับสนุนนโยบาย IGNITE Thailand ตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหลัก เพื่อดันให้ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค ส่วนรายละเอียดต้องรอให้ผ่านความเห็นชอบของ ครม. ก่อน