นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศเป็นนัดแรก ยังไม่มีการออกมาตรการใด ๆ แต่เป็นการรวบรวมข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย และด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยปลัดกระทรวงการคลังเองได้เสนอว่าควรจะมีกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจในระหว่างนี้จนไปถึงช่วงปลายปีก่อนที่จะเริ่มโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปคิดมาตรการต่าง ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต ก่อนจะนำกลับมาหารือกันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า โดยมีสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นเลขานุการร่วมเพื่อขับเคลื่อนประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป
ขณะที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐนตรี รมว.คลัง แถลงหลังการประชุมว่า คงเป็นที่ทราบกันดีว่าตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ จึงต้องมานั่งหารือกันว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด และจะแก้ไขอย่างไร โดยต้องแยกประเภทปัญหาว่าสิ่งไหนต้องแก้ไขในระยะยาวและเฉพาะหน้า เพราะหากย้อนหลังไป 15 ปีเศรษฐกิจชะลอลงตามลำดับ จนปีที่แล้วเติบโตเพียง 1.9% และไตรมาสแรกปีนี้เติบโตได้ 1.5% ดังนั้นต้องมาดูศักยภาพของประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีไม่น่าจะอยู่ที่เดิมหรือเติบโตต่ำกว่า 2% แต่เศรษฐกิจก็เติบโตต่ำกว่า 3.5% มาโดยตลอด ขณะที่เพื่อนบ้านเติบโตได้มากกว่า
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องย้อนดูระบบเศรษฐกิจ การผลิต การจ้างงาน นำไปสู่การบริโภคถือเป็นวงจร ซึ่งพบว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่องมาเหลือเพียง 57% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากผลผลิตต่ำ นำมาสู่ผู้บริโภคไม่มีกำลังซื้อ ทำให้ปัญหาเกิดขึ้นเป็นวงจร จำเป็นต้องทำให้การใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นและกำลังซื้อมากขึ้น ที่ประชุมจึงมีการไล่เรียงดูรายอุตสาหกรรม รวมถึงประเด็นเรื่องพลังงาน และการท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวถือว่าฟื้นตัวดีขึ้น ปัญหาอยู่ที่ภาคการผลิต ซึ่งอุตสาหกรรมรายใหญ่ยังอยู่ได้ แต่รายย่อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากนัก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ก็จะลามมาถึงภาคครัวเรือน ที่ประชุมวันนี้จึงหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาแก้ปัญหาด้วยการแก้ปัญหาสภาพคล่องและให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ถือเป็นปัญหาเร่งด่วน
การแก้ปัญหาสภาพคล่อง ผู้ว่าการ ธปท.ก็มองเห็นปัญหานี้ แต่ก็ต้องใช้เวลา ทุกฝ่ายยอมรับว่าจำเป็นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อใส่เงินลงไป 1.22 แสนล้านบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต และปีหน้าได้มีการตั้งไว้อีก 1.6 แสนล้านบาท รวมแล้วเกือบ 300,000 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการจัดเม็ดเงินวินัยการเงินภายใต้วินัยการเงินการคลัง เป็นการใส่เงินลงไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้คนตื่นขึ้นมา และหลังจากนี้ธนาคารของภาครัฐจะมีโครงการอีกจำนวนมากเพื่อให้คนหลุดจากสภาพหนี้ที่ติดอยู่ได้ ซึ่งภาครัฐจะมีมาตรการเสริมเข้าไปเพื่อให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้ นอกจากนี้สถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ จะมีมาตรการที่ยืดหยุ่นในระยะปานกลาง
และอีกปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำ คือ กำลังการผลิตหดตัวมาอย่างต่อเนื่อง เพราะกำลังซื้อหดหาย เป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะต้องมาหารือกันอีกรอบถึงกรอบเงินเฟ้อที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตอยู่ได้ เมื่อมีโจทย์ที่ตรงกันการพูดคุยก็จะแคบขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบข้อคิดเห็นพร้อมให้พร้อมนโยบายให้นโยบายว่าให้แต่ละฝ่ายไปสรุปมาตรการและความคิดเห็นต่างๆ ภายใน 2 สัปดาห์ ค่อยมารายงานความคืบหน้า เพื่อให้เกิดการผลักดันเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับระบบการเงินการคลัง ซึ่งตนจะเป็นผู้ประสานงานและทำงานร่วมกันกับธปท.
"วันนี้ยังไม่มีอะไรที่ตื่นเต้นมากเท่าไหร่ เอาสิ่งที่เห็นมาวางบนโต๊ะเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น"
นายพิชัย ยังกล่าวได้ว่า สิ่งที่จะขับเคลื่อนคือการดึงจุดแข็งของประเทศไทยออกมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตร ในอนาคตจะมีการผลักดันให้มีราคาสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพราะต่างประเทศมีการนำมาใช้แล้ว พร้อมกับการพัฒนาสินค้าภาคการผลิตทุกวิถีทางโดยจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น
"ถ้าถามผม เราก็ต้องทำทุกวิถีทาง แต่ส่วนตัวยังตอบไม่ได้ แต่คิดว่ายังไงเสีย ก็ไม่พอใจ (GDP) ที่ 2.5% แน่นอน"นายพิชัย กล่าว
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า เงินเฟ้อมีปัญหา 2 มิติ คือ เรื่องกรอบเงินเฟ้อที่ไม่สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจจริง และเรื่องกรอบเงินเฟ้อที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการคลัง และ ธปท.ไม่พยายามผลักดันเงินเฟ้อเข้าไปอยู่ในกรอบ จึงเป็นความรับผิดชอบร่วมกันต้องพิจารณา
สำหรับมาตรการที่พอจะเป็นรูปธรรมได้จากการหารือในวันนี้คือ มีการเสนอมาตรการจากธปท.ที่เห็นตรงกับกระทรวงการคลังในมาตรการเพิ่มการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อช่วยให้ปัญหาที่ทำให้ธนาคารต่างๆไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะเกรงว่าจะมีความเสี่ยง โดย บสย.จะเข้ามาค้ำประกันสินเชื่อให้ผ่านงบประมาณรัฐบาล เข้ามาดูดซับความเสี่ยง SME ออกไป และทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับ SME ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องพิจารณาการค้ำประกันสินเชื่อหรือปล่อยสินเชื่อให้กับ SME รายใหม่เป็นอันดับแรก ส่วนวงเงินค้ำประกันขอพิจารณาเพิ่มเติม คาดว่าจะนำเสนอเข้าครม.ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้
นอกจากนั้น ที่ประชุมวันนี้ยังได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ และเม็ดเงินงบประมาณ ในส่วนสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ได้รับโจทย์ให้ไปเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อที่เข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการไปยังกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อให้มีมาตราการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวของเขา เข้ามาเสริมช่วงโลว์ซีซั่นท่องเที่ยวของไทย ขณะที่กระทรวงการคลังจะช่วยสนับสนุนมาตรการท่องเที่ยวในเมืองรองด้วย
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการเชิญครม.ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ มาร่วมหารือกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ได้มีการตั้งเป็น ครม.เศรษฐกิจเหมือนในอดีต แต่หารือผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการทำงานและขับเคลื่อนในประเด็นที่สำคัญได้ง่ายขึ้น โดยจะมีการนำประเด็นของแต่ละเซกเตอร์ของเศรษฐกิจมาหารือร่วมกันและสามารถทำงานข้ามกระทรวง ข้ามหน่วยงานได้สะดวกขึ้น
สำหรับมาตรการทางภาษีนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ได้มีการหารือกับกรมสรรพสามิตเพื่อให้มีกลไกภาษีสามารถรองรับคาร์บอนเครดิต และเป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจสีเขียวมากขึ้น รวมถึง หารือการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างภาษีที่จัดเก็บภาษีจากบริษัทข้ามชาติต่างๆ ซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศ และเป็นกลไกที่ต้องมาปรับแก้กฏหมาย นอกจากนั้น ปลัดกระทรวงการคลังยังมีข้อเสนอว่าควรจะมีมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระหว่างนี้จนถึงปลายปี