ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่าอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลของไทยจัดเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่มีศักยภาพ สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวเฉลี่ยกว่า 7.5% ต่อปีในช่วงปี 4 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 63-66) ซึ่งสูงกว่าภาพรวมการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก ส่งผลให้ปี 65 ไทยติดอันดับ 8 ผู้ส่งออกอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลของโลก ซึ่งมีคู่ค้าสำคัญคือ จีน ตลาดมุสลิมหรือ OIC (Organization of Islamic Conference) สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ตามลำดับ
แต่สำหรับปี 67 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลของไทยอาจหดตัว 0.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากแรงกดดันด้านผลผลิตที่ในครึ่งปีแรกถูกกระทบจากภัยแล้งและเอลนีโญ ก่อนที่การเข้าสู่ลานีญาในครึ่งปีหลังจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้บ้าง รวมถึงด้านราคาจากการเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในปีก่อนหน้า
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
1. อาหารฮาลาลธรรมชาติ เป็นสินค้าหลักคิดเป็นสัดส่วน 65% ของมูลค่าการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั้งหมด ซึ่งปีนี้คาดว่าจะทรงตัว โดยแม้ว่าหลายรายการจะยังสามารถเติบโตต่อได้ แต่การส่งออกข้าวน่าจะยังหดตัวจากฐานที่สูงในปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ ด้วยการแข่งขันจากคู่แข่งที่สามารถเร่งผลิตและส่งออกได้มากขึ้น เช่น บราซิล (น้ำตาลทราย) เวียดนาม (ผลไม้สด-ทุเรียน) และอินเดีย (ข้าว) เป็นต้น จึงกดดันต่ออัตราการเติบโตเฉลี่ยในภาพรวม
2. อาหารฮาลาลโดยการรับรอง คิดเป็นสัดส่วน 35% ของมูลค่าการส่งออกอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั้งหมด ซึ่งปีนี้คาดว่าจะหดตัว 2.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลักๆ มาจากการส่งออกน้ำมันพืช จากผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า ราคาปีนี้ที่อาจลดลงจากแข่งขันกับน้ำมันพืชทางเลือกที่ออกสู่ตลาดโลกมากขึ้น และการแข่งขันน้ำมันปาล์มกับผู้ส่งออกหลักอย่างมาเลเซีย
ส่วนไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ไทยก็เผชิญประเด็นการแข่งขันจากผู้ผลิตและส่งออกระดับโลกอย่างบราซิล เช่นเดียวกับนมและผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืช ที่ไทยต้องแข่งขันกับสินค้าจากเนเธอร์แลนด์และนิวซีแลนด์
ในระยะข้างหน้า หากไทยต้องการจะก้าวสู่ ASEAN Halal Hub ให้ได้ภายในปี 71 ตามเป้าหมาย ด้วยการชูอาหารและเครื่องดื่มฮาลาล เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ส่งออกที่มูลค่าเติบโต หรือมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองโจทย์สำคัญที่ทั้งภาครัฐ และผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งดำเนินการ ดังนี้
- การมีเครื่องหมายรับรองฮาลาลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลยังจำเป็น เพราะเป็นด่านแรกที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคชาวมุสลิม ปัจจุบันสินค้าไทยได้รับเครื่องหมายรับรองจากประเทศมุสลิมสำคัญ ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซีย อาทิ ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืช เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในอนาคต ผู้ประกอบการไทยคงต้องเพิ่มความครอบคลุมของการได้รับการรับรองจากทั้งตลาดปลายทางและรายการสินค้าอื่นๆ ให้ได้มากขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าปศุสัตว์ในตลาดตะวันออกกลาง เป็นต้น
ทั้งนี้ การนำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Food Traceability) มาปรับใช้ในการผลิต เช่น RFID, IoT หรือ Blockchain เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความมั่นใจต่อคู่ค้าได้ว่า กระบวนการผลิตของผู้ประกอบการไทยสอดคล้องตามหลักศาสนาตลอดห่วงโซ่อุปทาน ถึงแม้จะเป็นกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการโดยชาวมุสลิมก็ตาม
- เน้นการแข่งขันด้านคุณภาพในกลุ่มอาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และเป็นที่ต้องการในตลาดมุสลิม เช่น อาหารฟังก์ชั่นนอลฟู้ดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และแอฟริกาใต้ ที่คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.6% และ 4.9% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าภาพรวมทั่วโลกที่ 2.7% ต่อปี (CAGR ปี 63-69) เครื่องดื่มจากพืชในมาเลเซีย ที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดใกล้เคียงนมถั่วเหลืองในปี 73 เป็นต้น นั่นหมายความว่า ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งลงทุนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดรับไปกับเทรนด์ความต้องการอาหารในอนาคต
- ขยายการทำตลาดเพิ่ม โดยเฉพาะไปยังประเทศสมาชิกใน OIC ที่มีความต้องการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้สูง อาทิ กลุ่มตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกาใต้ จากจำนวนประชากรที่มากและความมั่นคงทางอาหารต่ำ ผ่านการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในหลายรูปแบบ ทั้งการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ที่ทำให้ไทยสามารถส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งไปได้มากขึ้น การทำข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ (G2G) ในการส่งออกข้าวไทยไปยังอินโดนีเซีย หรือแม้กระทั่งการเปิดเสรีข้อตกลงการค้าทวิภาคีและพหุภาคี
โดยทางการกำลังอยู่ระหว่างผลักดันเพิ่มเติม ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ CEPA (ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) FTA (ไทย-ปากีสถาน) เป็นต้น การผลักดันการเจรจาการค้าระหว่างประเทศให้ครอบคลุมตลาดฮาลาล จะช่วยสร้างแต้มต่อให้กับสินค้าส่งออกอาหาร และเครื่องดื่มฮาลาลไปได้เพิ่มขึ้น