มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยปี 66 พุ่งเฉียด 6 ล้านลบ. "ประกันภัย" มาแรงสุด

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 30, 2024 18:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยผลสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรืออีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ปี 2566 (Value of e-Commerce Survey in Thailand 2023) คาดมีมูลค่าถึง 5.96 ล้านล้านบาท โดยกลุ่ม B2C ครองแชมป์มีสัดส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากกว่าครึ่ง อุตสาหกรรมประกันภัยมาแรง โตมากสุดกว่า 31% ส่วนช่องทางการขายยอดฮิต หนีไม่พ้น e-Marketplaces และ Social Commerce

มูลค่าอีคอมเมิร์ซ จากกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ได้สำรวจจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต, อุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง, อุตสาหกรรมการขนส่ง, อุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก, อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร, อุตสาหกรรมการประกันภัย, อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ และอุตสาหกรรมการบริการด้านอื่นๆ รวมกว่า 3,440 ราย ตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.66

โดยในปี 2565 ประเทศไทย มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซอยู่ที่ 5.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.05% จากปี 2564 ที่มีมูลค่า 5.17 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยสัดส่วนมูลค่าอีคอมเมิร์ซแบบ B2C มากสุด 51.7% รองลงมาคือ B2B 37.8% และ B2G 10.5% ตามลำดับ

เมื่อพิจารณามูลค่าอีคอมเมิร์ซรวม จำแนกรายอุตสาหกรรม พบว่า อุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง ยังคงครองแชมป์มีมูลรวมมากที่สุด อยู่ที่ 2.83 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการค้าปลีก 1.53 ล้านล้านบาท และอุตสาหกรรมการค้าส่ง 1.30 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิต 6.99 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการขนส่ง 5.52 แสนล้านบาท อุตสาหกรรมการให้บริการที่พักและอาหาร 4.28 แสนล้านบาท และ อุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 2.99 แสนล้านบาท

โดยช่องทางการขายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หนีไม่พ้น e-Marketplaces 24.58% (อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการขายผ่านช่องทางดังกล่าวมากที่สุด ได้แก่ การค้าปลีกและค้าส่ง รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิต และบริการที่พักและอาหาร ตามลำดับ) รองลงมาคือ การขายผ่านทางเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันของกิจการเอง 23.60% และ Social Commerce (มากสุดคือ Facebook รองลงมาคือ TikTok และ Instagram) 22.25%

ประเภทของช่องทางการชำระเงิน ที่ถูกเลือกใช้งานมากที่สุด คือ Mobile/Internet Banking 68.12% ของช่องทางทั้งหมด รองลงมาคือ เก็บเงินปลายทาง 7.92% เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภครายได้น้อย และต้องการตรวจสอบสินค้าก่อนชำระเงิน และสั่งจ่ายผ่านเช็ค 6.93% โดยนิยมมากในกลุ่มธุรกิจด้วยกัน

ขณะที่ช่องทางการขนส่งสินค้า พบว่า SMEs นิยมใช้มากสุดคือ ธุรกิจขนส่งสินค้าในประเทศ 41% เนื่องจากความเร็วในการจัดส่งสินค้าและต้นทุนต่ำ จึงเลือกใช้ช่องทางนี้มากที่สุด รองลงมา ไปรษณีย์ไทย 32% เนื่องจากให้บริการครอบคลุมพื้นที่ขนส่งครอบคลุมทั่วประเทศไทย และมีความปลอดภัยสูง ส่วนธุรกิจระดับ Enterprises นิยมเลือกใช้บริษัทจัดส่งสินค้าด้วยตนเอง 63% เนื่องจากต้องการควบคุมเวลาและคุณภาพของสินค้าในการส่ง รองลงมาคือ บริษัทจัดส่งสินค้าในประเทศ 38% ตามลำดับ

* มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยสดใส คาดปี 66 เฉียด 6 ล้านลบ.

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซของไทยจะพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยปี 2566 จะแตะถึง 5.96 ล้านล้านบาท โดยอุตสาหกรรมที่จะมาแรง และมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นมากที่สุดที่น่าจับตา คือ อุตสาหกรรมการประกันภัย ที่จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึง 31% รองลงมา อุตสาหกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ 24% และอุตสาหกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง 13% ตามลำดับ

ปัจจัยภายในที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ มองว่าส่งผลต่อมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ การสร้าง Customer Experience ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น การเพิ่มช่องทางการให้บริการ การจำหน่าย การชำระเงิน แม้กระทั่งการเลือกขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม

ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุด ได้แก่ ภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อความสามารถในการซื้อสินค้าออนไลน์ พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกและคล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงความพร้อมของใช้งานอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็ว และครอบคลุมทุกพื้นที่ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์

ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ Technology ที่น่าสนใจได้แก่ Affiliate Marketing หรือ การตลาดออนไลน์ ที่มีตัวแทนในการช่วยขายสินค้าหรือบริการ และจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบ Commission เป็นสาเหตุหลักที่ช่วยผู้ประกอบการในการเพิ่มยอดขายมากถึง 50% โดยมีผู้ประกอบการที่ตอบแบบสอบถามเพียง 18% เท่านั้นที่กำลังใช้ Affiliate Marketing ขณะที่ 36% สนใจที่จะทำ Affiliate Marketing

นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซ นำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในธุรกิจ 29% ส่วนอีก 71% ยังไม่ใช้ เนื่องจากขาดแคลนทรัพยากรที่มีความรู้ความสามารถในการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ มีความไม่มั่นใจว่าจะนำปัญญาประดิษฐ์ไปปรับใช้กับส่วนใดของธุรกิจ และความซับซ้อนความเข้าใจของเทคโนโลยี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ