คนไม่อิน! แนะรัฐศึกษา Entertainment Complex ให้รอบคอบ-ห่วงเพิ่มปัญหาสังคม

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 10, 2024 15:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คนไม่อิน! แนะรัฐศึกษา Entertainment Complex ให้รอบคอบ-ห่วงเพิ่มปัญหาสังคม

นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ว่า สถานบันเทิงครบวงจรในบริบทของประเทศไทย ประกอบด้วยบริการต่าง ๆ เช่น คาสิโน, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรมหรู 5 ดาว, ร้านอาหารและบาร์, ศูนย์การประชุม, สวนสนุก ฯลฯ โดยรัฐบาลวางแผนเปิดในพื้นที่เป้าหมาย 5 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ท่าเรือคลองเตย (กทม.), พื้นที่บางกะเจ้า (สมุทรปราการ), พื้นที่ EEC, เชียงใหม่ และภูเก็ต คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2576

คนไม่อิน! แนะรัฐศึกษา Entertainment Complex ให้รอบคอบ-ห่วงเพิ่มปัญหาสังคม

โดยมองว่า ผลกระทบทางบวกที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการท่องเที่ยว การสร้างงาน และกระจายรายได้ในภาคบริการ รวมถึงการเพิ่มรายได้ให้รัฐผ่านภาษีและค่าธรรมเนียม

ในขณะที่ผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจใต้ดิน ผลกระทบต่อหนี้สินครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่อาจเพิ่มขึ้น ตลอดจนต้นทุนทางสังคมจากปัญหาการติดการพนัน

ทั้งนี้ ภายใต้กรณีฐาน ม.หอการค้าไทย คาดว่า รายได้ของผู้ประกอบการฯ จะอยู่ที่ 6.95 หมื่นล้านบาท (0.7% ของ GDP) ในขณะที่รัฐบาลจะมีรายได้ 3.60 หมื่นล้านบาท ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ 1.06 แสนล้านบาท

จากการวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่า รายได้ของผู้ประกอบการฯ อยู่ระหว่าง 5.63-8.29 หมื่นล้านบาท และรายได้ของรัฐบาลอยู่ระหว่าง 3.24-3.80 หมื่นล้านบาท ทำให้รายได้รวมอยู่ระหว่าง 0.89-1.21 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้บริการ (10-30%) และอัตราภาษีคาสิโน (15-20%)

นายวิเชียร กล่าวว่า สำหรับมาตรการสำคัญที่รัฐบาลควรทำ เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบทางลบ ได้แก่ การออกกฎหมายและระเบียบที่เข้มงวด การป้องกันและบำบัดปัญหาการติดการพนัน และการจัดสรรรายได้ไปสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ

ด้านนางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ม.หอการค้าไทย ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นต่อการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร พบว่า 41.6% ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมาคือ 19.3% ที่เห็นด้วยน้อย และ 16.4% ที่เห็นด้วยน้อยที่สุด

ทั้งนี้ เมื่อถามว่าหากมีการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รวมถึงคาสิโน จะไปใช้บริการหรือไม่ พบว่า 51.3% บอกว่า จะไม่ไปใช้บริการแน่นอน รองลงมาคือ 22.4% บอกว่าไม่แน่ใจ ขณะที่มี 10.6% บอกว่าจะไปแน่นอน

ซึ่งในกรณีของกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าจะไปใช้บริการนั้น บอกว่าจะเข้าไปใช้บริการเฉลี่ย 4.7 ครั้ง/ปี โดย 32.4% บอกว่าจะใช้เงินเฉลี่ยต่อครั้ง 50,000 บาทขึ้นไป รองลงมา 28.4% บอกว่าจะใช้เงินเฉลี่ยต่อครั้งที่ 5,000-9,999 บาท

ในส่วนของภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวต่างชาติ หากมีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงคาสิโน กลุ่มตัวอย่างมองว่า 46.7% จะไม่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ขณะที่ 42.6% มองว่าจะทำให้ภาพลักษณ์แย่ลง ขณะที่อีก 10.7% มองว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น

เมื่อถามว่าคิดว่า ควรจะเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ใด กลุ่มตัวอย่าง 40.9% มองว่าควรจะเปิดที่ภูเก็ต รองลงมา 17.3% ควรเปิดที่พื้นที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ และอีก 16.6% ควรเปิดที่พื้นที่เขตพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

สำหรับมาตรการป้องกันที่ควรมีเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม มองว่า 67.3% ควรจำกัดการเข้าถึงสำหรับบุคคลบางกลุ่ม เช่นเยาวชน รองลงมา คือ 59.1% ควรให้ความรู้และรณรงค์ป้องกันปัญหาการพนัน และหนี้เสีย และ 51.8% มองว่าควรเพิ่มโทษทางกฎหมายสำหรับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ประเด็นเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จากการสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วย ขณะที่ผลสำรวจผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มตัวอย่างมองว่า ยังอยู่ในระดับกลาง ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ

ดังนั้น มองว่าเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องก้ำกึ่ง ที่รัฐบาลต้องศึกษาให้ดี และให้ความรู้ข่าวสารอย่างรอบด้านแก่ประชาชน รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ เนื่องจากมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

*จับตานโยบาย "หวยเกษียณ" ความคุ้มค่าของผลตอบแทน

นายธนวรรธน์ กล่าวถึงนโยบาย "หวยเกษียณ" ด้วยว่า จุดสำคัญคือฐานข้อมูลของแรงงานที่ไม่ได้เข้าประกันสังคม คนที่เป็นฟรีแลนซ์หรือทำธุรกิจส่วนตัว ทั้งนี้ ในเชิงนโยบายถือว่าเป็นการส่งเสริมการออม เป็นสลากออมทรัพย์ที่ยิ่งออมเร็วตอนอายุน้อยยิ่งได้ลุ้นเร็ว แต่ขณะนี้ยังไม่รู้รายละเอียดของนโยบายว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่เท่าไร และจะสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อหรือไม่ จะทำให้อำนาจซื้อลดลงหรือไม่ เช่น เงิน 100 บาทที่ออมในตอนนี้ เมื่อถึงอายุ 60 ปี อาจเหลือ 97 บาทก็ได้ เป็นต้น

ดังนั้น หน่วยงานที่ดูแลต้องบริหารจัดการเงินว่า จะได้ผลตอบแทนมากน้อยเท่าไร และต้องคำนวณไม่ให้เงินไหลออก อย่างไรก็ดี มองว่าเป็นนโยบายนี้เป็นการส่งเสริมการออมที่น่าสนับสนุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ