นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ รัฐบาลยังไม่ได้มีการพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องนำ "กองทุนพยุงหุ้น" กลับมาใช้ หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่แน่นอน
ทั้งนี้ จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจุบัน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ได้เตรียมเสนอที่ประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการประชุมในอีก 2 สัปดาห์หน้า พิจารณาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพิ่มเติม
โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพิ่มเติมที่จะเร่งผลักออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น จะช่วยกระตุ้นให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 3%
"รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ อยากให้เรื่องผ่านการพิจารณาของคณะทำงานด้านเศรษฐกิจก่อน เพื่อให้มีความชัดเจนที่สุด" นายจุลพันธ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปี 2567 ไว้ที่ 2.6% นั้น มองว่า เป็นการประเมินจากฐานข้อมูลเดียวกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ตัวเลขจึงออกมาอยู่ในระดับเดียวกันที่ 2.4-2.6% ซึ่งยังไม่ได้รวมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ที่รัฐบาลจะเติมเข้าไป
"ตอนนี้เราพูดถึงระยะสั้นเป็นหลัก ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้เร่งผลักดันมาแล้ว 3 เรื่อง ทั้งการเร่งรัดเบิกจ่าย การท่องเที่ยว และการลงทุน ส่วนมาตรการระยะยาว ก็ต้องทำควบคู่กันไปด้วย โดยจะต้องพิจารณาเรื่องการเพิ่มจำนวนบุคลากร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน เช่น เซมิคอนดักส์เตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กลไกในเรื่องการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องปาล์มน้ำมัน ซึ่งจะมีทั้งมาตรการทั้งระยะกลางและระยะยาว ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติกำลังไหลเข้ามาลงทุน แต่ว่าบุคคลากรของเราขาดแคลน ก็คงต้องมีการพูดคุยในเรื่องเหล่านี้ต่อไป โดยรัฐบาลมุ่งหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว จะมีผลดีในระยะยาวกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายจุลพันธ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มปิดกิจการ และถอนการลงทุนออกไปนั้น รมช.คลัง ยอมรับว่ามีบ้าง ถือเป็นวงจรปกติของการทำธุรกิจ และยอมรับว่ามีผลให้แรงงานตกงานเพิ่มขึ้น แต่จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานในช่วงที่ผ่านมา พบว่า แม้จะมีการปิดโรงงาน ปิดบริษัท แต่ก็ยังมีตลาดรองที่มาดูดซับแรงงานกลุ่มดังกล่าวไปหมดแล้ว ดังนั้น ขณะนี้จึงยังไม่มีปัญหาตัวเลขการว่างงานที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"หากไปดูตัวเลขจริงเรื่องการจัดตั้งบริษัท เทียบกับตัวเลขการขอยกเลิกกิจการ จะพบว่า ตัวเลขการจัดตั้งบริษัทยังเป็นบวก ไม่ได้ติดลบ ดังนั้น สะท้อนว่าตลาดแรงงานในปัจจุบันยังไม่ได้มีปัญหา เพราะยังมีบริษัทใหม่ ๆ ที่เปิดขึ้นมา และดูดซับแรงงานออกไป" นายจุลพันธ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดที่จะทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อใหม่ จากปัจจุบันอยู่ที่ 1-3% เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นผู้พิจารณา ตนไม่ทราบรายละเอียด จึงไม่สามารถตอบอะไรได้ และไม่อยากให้ทุกฝ่ายเร่งสรุปไปก่อน
"เป็นเรื่องของ รมว.คลัง ที่จะดูเรื่องนี้ ส่วนตัวไม่ทราบรายละเอียดอะไร จึงยังตอบอะไรไม่ได้" รมช.คลัง ระบุ