นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยในงาน "หุ้นไทย 2024 With The Dragon Fire Discover new opportunities" ว่าแนวโน้มราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นไปอีก 3-5 ปี หลังจากราคาทองคำร้อนแรงมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา จากความกังวลในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยแนะนำลงทุนทองคำเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยง ซึ่งหากมีในพอร์ตประมาณ 5-15% จะช่วยให้ผลตอบแทนดีขึ้นหรือลดความผันผวนของผลตอบแทนให้น้อยลง
ปีนี้ถือว่าราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาทองคำในประเทศเมื่อเทียบกับราคาทองคำต่างประเทศที่ปรับขึ้นเพียง 14-15% แต่ราคาทองคำไทยที่ปรับขึ้นแรงประมาณ 20% มาจากเงินบาทอ่อนค่า 6-7% จากต้นปี อย่างไรก็ตาม การที่ราคาทองปรับขึ้นแรงอาจเห็นแรงขายทำกำไรในระยะสั้นและราคาทองคำพักตัว แต่แนวโน้มราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้นอยู่
ในระยะสั้น YLG มองว่าน่าจะมีแรงขายทำกำไรทองคำ ทำให้ย่อตัวลงมาในแนวรับแรก 2,277 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือบาททองคำละ 39,500 บาท และแนวรับถัดไปที่ 2,228 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือบาททองคำละ 38,700 บาท แต่หากดูแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว ยังให้แนวต้านที่ 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ซึ่งปี 67 ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วที่ 2,450 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จุด และเชื่อว่าทุกครั้งที่ทำจุดสูงสุดใหม่จะมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นลงมาก่อน และจะกลับไปทดสอบใหม่ โดยให้แนวต้านถัดไปที่ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือบาททองคำละ 46,000 บาทในปี 67
ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อการปรับขึ้นของราคาทองประกอบด้วยการที่ธนาคารกลางต่าง ๆ มีการเทขายสินทรัพย์อื่น ๆ โดยเฉพาะ US Dollar เข้ามาถือทองคำต่อเนื่องทำให้ราคาทองคำช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องติดตามหนี้สาธารณะของสหรัฐที่ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการอัดฉีดเงินเข้าระบบ โดยราคาทองคำจะสอดคล้องกับปริมาณการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วย นอกจากนี้การเลือกตั้งสหรัฐที่จะเกิดขึ้นช่วงปลายปีอาจมีผลต่อราคาทองคำ ซึ่งหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งอาจก่อให้เกิดความผันผวนของตลาดทุนรวมทั้งราคาทองคำด้วยเช่นกัน
ขณะที่ประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากเดิมที่คาดว่าจะปรับลด 3 ครั้งในปีนี้ ลดลงเหลือเพียง 1 ครั้งในปีนี้ เชื่อว่าตลาดน่าจะรับรู้ไปแล้ว จะต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐหากไม่ดีราคาทองคำจะปรับขึ้น เช่นเดียวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่อาจส่งผลให้ราคาทองปรับลงเนื่องจากพันธบัตรให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า