สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมกับคณะผู้แทนการค้าไทย ทีมงานนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ประจำประเทศญี่ปุ่น จัดคณะโรดโชว์การลงทุนไปเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-21 มิ.ย.67 นำโดย ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ประธานผู้แทนการค้าไทย โดยได้จัดงาน Thailand-Japan Investment Forum 2024 ร่วมกับธนาคาร MUFG มีนักลงทุนญี่ปุ่นเข้าร่วมงานกว่า 400 ราย จากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์-เซมิคอนดักเตอร์, ดิจิทัล, อุตสาหกรรมชีวภาพ และกลุ่มการเงิน-การธนาคาร
ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "Thailand?s Transforming Investment Landscape" ในงาน Thailand-Japan Investment Forum 2024 ว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต่างชาติกลุ่มแรกที่เข้ามาลงทุนขนาดใหญ่ในไทยมานานกว่า 50 ปี และมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมของไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ และยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มจะขยายวงกว้าง ได้สร้างความเสี่ยงให้กับภาคธุรกิจ ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องกระจายหรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มั่นคงและเป็นกลาง ซึ่งรัฐบาลไทยตระหนักถึงความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาสนี้ ดังนั้นจึงได้มุ่งปรับปรุงกฎระเบียบและระบบนิเวศในการประกอบธุรกิจ เพื่อสร้างพื้นที่การลงทุน ที่ไม่เพียงแต่ปลอดจากความขัดแย้งเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับนักลงทุนในด้านต่าง ๆ ด้วย
มล.ชโยทิต กล่าวว่า รัฐบาลไทยกำลังเร่งผลักดันนโยบายต่าง ๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการค้าการลงทุนไทย เช่น การเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ซึ่งปัจจุบันไทยมี FTA 15 ฉบับ ครอบคลุม 19 เขตเศรษฐกิจ และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 5 ฉบับ ได้แก่ FTA ไทย-อียู สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาน ซึ่งจะช่วยเปิดตลาดการค้าและการลงทุนให้สามารถเข้าถึงตลาดได้กว้างขวางขึ้นอีกกว่า 30 ประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งจัดหาแหล่งพลังงานสะอาดให้กับนักลงทุน รองรับแผนดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่เป้าหมายการลดคาร์บอน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจและค้าขายระหว่างประเทศในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความพร้อมของบุคลากร เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ผ่านโปรแกรมต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือในการจัดตั้งสถาบันไทย-โคเซ็น ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น และการจัดทำหลักสูตร Sandbox โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่มุ่งเน้นผลิตคนให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม เช่น ด้าน AI ดิจิทัล เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
ด้าน นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "Thailand's New Investment Incentives and Business Opportunities for Japanese Investors" ว่า ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 ของไทยมานานหลายทศวรรษ ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทยกว่า 6,000 บริษัท นับว่ามากที่สุดในอาเซียน และมีบทบาทสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาตลอด ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญความท้าทายใหญ่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างขั้วมหาอำนาจ ที่นำไปสู่สงครามการค้าและการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนครั้งใหญ่ และวิกฤตโลกร้อนที่ทำให้ทุกฝ่ายมุ่งสู่การลดคาร์บอน ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความโดดเด่น และเหมาะสมสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น เพราะสามารถตอบโจทย์ทิศทางใหม่เหล่านี้ได้ ด้วยข้อได้เปรียบ 10 ด้าน ได้แก่
- ระบบสาธารณูปโภค โลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ
- โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ทั้งเครือข่าย 5G ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก และอัตราใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในระดับสูง
- ซัพพลายเชนครบวงจร โดยเฉพาะชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
- การเข้าถึงตลาดโลกผ่าน FTA ต่าง ๆ
- บุคลากรที่มีคุณภาพ พร้อมพัฒนาทักษะไปสู่อุตสาหกรรมใหม่
- การเปิดกว้างและอำนวยความสะดวกกลุ่มบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ (Talent) ผ่าน LTR Visa, Smart Visa และศูนย์ OSS
- แหล่งพลังงานสะอาดที่มีศักยภาพ ช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน
- ความเป็นกลาง เป็นพื้นที่ไร้ความขัดแย้ง (Conflict-Free Zone)
- มีต้นทุนการประกอบธุรกิจที่เหมาะสม
- ความน่าอยู่ของประเทศไทย และปัจจัยสนับสนุนการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติ เช่น ที่พักอาศัยมาตรฐานสูง โรงเรียนนานาชาติกว่า 200 แห่ง และโรงพยาบาลมาตรฐานโลก JCI กว่า 60 แห่ง เป็นต้น
"บีโอไอ มุ่งมั่นที่จะดูแลและสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เติบโต และขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงหรืออุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นเป้าหมายของประเทศ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัล และอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้งการดึงบริษัทญี่ปุ่นรายใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำลังมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ นอกจากนี้ เรายังสนับสนุนให้ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยและพัฒนา และสำนักงานภูมิภาคอีกด้วย" นายนฤตม์ กล่าว
การจัดงาน Investment Forum ครั้งนี้ บีโอไอได้นำเสนอมาตรการใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนญี่ปุ่นด้วย เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งครอบคลุมทั้งรถยนต์ ICE, HEV, PHEV และ BEV มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร มาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย เช่น EEC, ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค รวมทั้งการจัดตั้ง Startup Matching Fund ภายใต้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนความร่วมมือระหว่าง Startup ไทยกับญี่ปุ่นได้ด้วย
ในส่วนของกิจกรรมประชุมเจาะลึกรายอุตสาหกรรม (Roundtable Meeting) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์มีผู้เข้าร่วมกว่า 80 ราย และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กว่า 30 ราย นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่มีแผนจะเข้ามาลงทุนในไทย ได้เข้าร่วม BOI Clinic เพื่อสอบถามข้อมูลเชิงลึกอีกกว่า 20 ราย แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างจริงจังของการลงทุนในไทย
คณะผู้แทนการค้าไทยและบีโอไอ ยังได้เข้าพบหารือกับบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น 4 ราย เพื่อหารือแผนการลงทุนในประเทศไทยและการสนับสนุนจากภาครัฐ ได้แก่
(1) บริษัท MinebeaMitsumi ผู้นำด้านชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนอากาศยาน ได้หารือแผนการลงทุนพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน
(2) บริษัท Toray Industries ผู้นำด้านเส้นใย สิ่งทอ และเคมีภัณฑ์ ได้หารือแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
(3) บริษัท Mitsui ผู้นำด้านพลังงาน โลหะ และเคมีภัณฑ์ ได้รายงานความคืบหน้าการศึกษาโอกาสการลงทุนผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานสะอาด
(4) TeamLab พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลระดับโลก (Immersive Digital Art Museum) ที่มีผู้เข้าชมติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โดยได้เชิญชวนให้พิจารณามาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริมมูลค่ารวมกว่า 8.7 แสนล้านบาท โดยในปี 2566 มีนักลงทุนญี่ปุ่นยื่นขอรับการส่งเสริม 264 โครงการ เงินลงทุน 79,151 ล้านบาท สำหรับไตรมาสแรกของปีนี้ มีโครงการจากญี่ปุ่นขอรับการส่งเสริม 74 โครงการ เงินลงทุน 14,981 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ