สมาคมโรงแรมไทย ค้านแนวทางทบทวนแก้กฎหมายให้สิทธิคนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75% ทำโรงแรมเถื่อนเพิ่มขึ้น หวั่นกระทบรายได้ของธุรกิจโรงแรม
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวถึงประเด็นเรื่องที่รัฐบาลจะมีการทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด จากเดิมไม่เกิน 49% เป็นไม่เกิน 75% ว่า ตนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และสัดส่วนเดิมที่ 49% ก็มองว่ามากพออยู่แล้ว
ทั้งนี้ การเปิดห้องรายวันมากขึ้นกว่าเดิมถือเป็นการสูญเสียรายได้ของธุรกิจโรงแรมเป็นอย่างมาก เพราะโดยส่วนใหญ่จะไม่มีใบอนุญาต ขณะที่ต้นทุนต่าง ๆ ถูกกว่าโรงแรม ทั้งการใช้มิเตอร์บ้านพัก และภาษีที่ดินบ้านพักอาศัย (หลักเกณฑ์บ้านหลังแรก)
นอกจากนี้ มีข้อกังวลคือ 75% เป็นต่างชาติ ส่วน 25% เป็นบริษัทไทย ซึ่งอาจมีนอมินีอีก ซึ่งสามารถเลี่ยงกฎหมายโรงแรมต่าง ๆ ได้ และทำให้มีโรงแรมเถื่อนเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการสำรวจโรงแรมในปัจจุบัน มีโรงแรมที่ถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตถูกต้องแค่ 1.5-1.6 หมื่นแห่ง ในขณะที่มีโรงแรมผิดกฎหมายเกือบถึง 4 หมื่นแห่ง
"โรงแรมผิดกฎหมาย หรือนอมินีมีเยอะมาก โรงแรมที่ถูกกฎหมายก็ต้องไปแข่งขันกับโรงแรมเหล่านั้น ตกอยู่ใน price war และจะพัฒนาโรงแรมก็ไม่ได้ พัฒนาคุณภาพและขายแพงก็สู้เขาไม่ได้ เพราะขายอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่รู้" นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว
อีกหนึ่งปัญหาของกลุ่มโรงแรม คือ เรื่องภาษีที่ดิน โดยโรงแรมขนาดเล็กหลายแห่งตามภูมิภาคต่าง ๆ ยังไม่มีลูกค้ากลับมาเท่าเดิมตั้งแต่โควิด-19 ทำให้ไม่มีรายได้ แต่ยังต้องจ่ายภาษีที่ดินเท่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมหลายแห่งที่ไม่สามารถขยับราคาห้องพักขึ้นได้ แต่ภาษีที่ดินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น ย่านสีลม ชิดลม เป็นต้น
ดังนั้น จึงเสนอให้รัฐบาลเปิดรับฟังว่าจะทบทวน และให้ความช่วยเหลือในลักษณะใดได้บ้าง โดยอาจจะให้พิจารณาจากทั้งรายได้และภาษี
นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังอยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาท/ห้องพัก ต่อไป อีก 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 67-30 มิ.ย. 69
ส่วนประเด็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นแซงหน้านักท่องเที่ยวเข้าไทย นายเทียนประสิทธิ์ มองว่า เนื่องจากขณะนี้เงินเยนอ่อนค่าไปมาก จึงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวแห่ไปเที่ยวมากในช่วงนี้ สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศ ในส่วนของเป้ารายได้ของไทย 3.5 ล้านล้านบาท มองว่า เป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่การที่จะมาซึ่งรายได้นี้ไม่จำเป็นต้องอิงจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว หากสามารถทำให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้น และใช้จ่ายต่อหัวได้มากขึ้น
ด้านนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยอมรับว่า มีความกังวลต่อการไปสู่เป้าหมายนักท่องเที่ยว 36.7 ล้านคน เป้า รายได้ที่ 3.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี หากมีประเด็นใดที่เป็นปัญหาพร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขทันที โดยในปี 67 นี้ มุ่งให้ตลาดการท่องเที่ยวของไทยเข้าสู่ Quality Destination รักษาตลาดเดิม เจาะตลาดใหม่ (Rising Star) เพื่อดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น ตลาดอินเดีย และตลาดกลุ่มประเทศ CIS (รัสเซีย คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน) และในปี 68 จะเป็นปีของการท่องเที่ยว โดยจะผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป
สำหรับปัญหาของภาคท่องเที่ยว ทั้งเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท เรื่องภาษีที่ดิน เรื่องระยะเวลาในการจำหน่ายสุรา ที่โรงแรมอยากให้ขายได้ 24 ชั่วโมง รวมถึงเรื่องที่บริษัทท่องเที่ยวต่างชาติล้มละลาย และส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงแรมไทยนั้น ตนพร้อมที่จะประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออก และแก้ไขต่อไป