นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยืนยันว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมระหว่างรอมาตรการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่จะออกมาในช่วงปลายปีนี้ แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เนื่องจากยังไม่เข้าสู่ชั้นการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ
"รัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในมิติอื่น ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนโครงการคนละครึ่ง รัฐบาลยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือมีการพิจารณาเรื่องนี้" รมช.คลัง กล่าว
สำหรับมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนที่ได้ประกาศออกไปต้นสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) ซึ่งประเมินว่ารัฐจะสูญเสียรายได้จากภาษีราว 1.3 หมื่นล้านบาท จากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีครบทุกระดับอายุของฐานที่เสียภาษีนั้น รมช.คลัง มองว่า มาตรการนี้ถือว่าคุ้มค่า อยากให้พิจารณาใน 2 ส่วน ไม่ใช่แค่เม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามาเมื่อเทียบกับรายได้ภาษีที่จะเสียไปเท่านั้น แต่จากการศึกษาของกรมสรรพากร และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดทุนไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน
และอีกส่วน คือ ผลกระทบของมาตรการในเชิงมูลค่า โดยกระทรวงการคลังเชื่อว่ามาตรการนี้ จะช่วยดันให้มาร์เก็ตแคปของตลาดขยายตัวขึ้นได้อย่างมาก ถือเป็นผลในเชิงบวก ซึ่งน่าจะดีกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทุนอย่างมาก
"เราเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในตลาดไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท ส่วนตัวเลข 3 หมื่นล้านบาทที่พูดไปก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นการประมาณการในระดับต่ำ ซึ่งมาตรการไม่ได้มีผลแค่ในเชิงเม็ดเงินลงทุน แต่ในเชิงมูลค่าก็ถือว่ามีผลบวกมาก ๆ ดังนั้น จึงไม่อยากให้พิจารณาแค่เม็ดเงินที่ไหลเข้าไป แต่อยากให้ดูในเชิงมูลค่าที่เกิดจากมาตรการควบคู่กันไปด้วย" นายจุลพันธ์ กล่าว
ส่วนแนวคิดการฟื้นกองทุนเพื่อการลงทุนระยะยาวในรูปแบบของกองทุนวายุภักษ์นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการหารือในเบื้องต้น ทั้งประเด็นเรื่องกลไกในการดำเนินการหากจะมีการหยิบยกขึ้นมาใช้จริง โดยเฉพาะเรื่องข้อกฎหมาย ขั้นตอนที่มีความจำเป็นต่าง ๆ แต่ยืนยันว่าจะเร่งพิจารณาให้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ หลักคิดสำคัญ คือ ต้องการที่จะให้มีเม็ดเงินเติมเข้าไปในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียน ซึ่งเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในรูปแบบของกองทุนวายุภักษ์
"เราอาจจะพิจารณาตั้งกองทุนขึ้นมาใหม่อีกกอง เป็นกองที่แยกต่างหาก ไม่ได้เป็นกองเดียวกัน แต่รูปแบบการจัดตั้ง สัดส่วนต่าง ๆ จะเป็นอย่างไร ก็ต้องมาดูกัน โดยรูปแบบที่เคยทำแล้ว และประสบความสำเร็จในกองทุนวายุภักษ์ก่อนหน้า ซึ่งกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 และ 2 มีเม็ดเงินอยู่แล้วราว 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งหากมีการตั้งกองใหม่ขึ้นมา ก็อาจจะขายให้ประชาชนทั่วไปประมาณ 1.5 แสนล้านบาท โดยประชาชนจะได้รับการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง ตรงนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก ดังนั้นหากถามว่าจะทำอีกครั้งหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ากำลังพิจารณาอยู่" นายจุลพันธ์ กล่าว