นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์มาเพิ่มเติม โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน
"มาตรการเรื่องบ้าน เราก็ดูอยู่หลายส่วน มีโปรแกรมเข้ามาเรื่อยๆ จะเรียกเข้ามาแต่ละแบงก์ว่าจะเสนอได้เท่าไร แบงก์น่าจะมีแนวทาง คนที่เป็นเจ้าหนี้น่าจะรู้ดีที่สุด แน่นอน เราคงไม่ปล่อยให้ sector นี้เป็นปัญหา" นายพิชัย กล่าว
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ รมว.คลัง คาดว่าจะขยายตัวได้คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.4-2.5% ขณะที่ปี 68 คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 3% แต่ทั้งนี้ การขยายตัวในอัตราดังกล่าวยังไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะโตได้ 3.5%
"การที่เศรษฐกิจไทยโตต่ำมาอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวได้ไม่ถึง 3% ในปีนี้ ทั้งที่ศักยภาพน่าจะเติบโตได้ถึง 3.5% ต้องมีอะไรที่ทำให้เกิดความผิดปกติ ซึ่งหากพิจารณาพบว่า ไทยพึ่งพาการส่งออกมาก แต่ปัจจุบันการส่งออกไม่เหมือนเดิม ส่งออกได้น้อย ราคาไม่ดี ขณะที่ภาคการผลิตตกต่ำ การจ้างงานน้อย การบริโภคน้อยลง" นายพิชัย กล่าว
สำหรับหนี้สาธารณะ ในช่วงที่ผ่านมาไทยเจอสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก และส่งผลให้หนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 63% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายวินัยการเงินการคลังที่กำหนดให้หนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของจีดีพี
รมว.คลัง กล่าวว่า ในระยะยาว การลงทุนของภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการอีดฉีดเม็ดเงินต่าง ๆ เข้าสู่ระบบด้วย ซึ่งอาจทำให้หลายฝ่ายกังวลปัญหาหนี้สาธารณะจะอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ มองว่าหากเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ถึงระดับ 5% การที่จะมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 75-80% ของจีดีพี ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลแต่อย่างใด ถ้าแผนการลงทุนดี
"แนวคิดเรื่องเพดานหนี้ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม และสถานการณ์ในขณะนั้น ในกรณีที่เรามีแผนการลงทุนที่มีแนวโน้มที่ดี และมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ การที่เราลงทุนโดยใช้ประโยชน์จากหนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด" นายพิชัย กล่าว
อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันยังคงยืนนโยบายหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ของจีดีพี และยังไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะนำไปสู่การทำให้หนี้สาธารณะเกินกว่าระดับ 70%