ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 36.83 ทรงตัวจากวานนี้ แนวโน้มแกว่งแคบรอปัจจัยใหม่ จับตาทิศทาง Flow

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 28, 2024 09:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เช้านี้เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 36.83 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวใกล้ เคียงกับปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 36.84 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา โดยตลาดรอฟังเนื้อหาการดีเบตของผู้ สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าจะมีประเด็นเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ และช่วงค่ำจะมีการประกาศตัว เลขดัชนี PCE ของสหรัฐฯ

ส่วนปัจจัยในประเทศ ตลาดรอดูทิศทางของเงินทุนต่างประเทศ (Flow) ในช่วงสิ้นไตรมาสและช่วงครึ่งปี

"ทิศทางบาทวันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ รอปัจจัยใหม่เข้ามา" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 36.70 - 36.95 บาท/ดอลลาร์

SPOT ล่าสุด อยู่ที่ระดับ 36.8600 บาท/ดอลลาร์

*ปัจจัยสำคัญ

  • เงินเยน อยู่ที่ระดับ 160.67 เยน/ดอลลาร์ อ่อนค่าสุดในรอบ 38 ปี จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 160.52 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0707 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.0691 ดอลลาร์/ยูโร
  • อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 36.926 บาท/ดอลลาร์
  • "พิชัย" เร่งมาตรการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้าโตเกิน 3% เรียกถก "แบงก์รัฐ" ออกมาตรการแก้หนี้ เจาะรายเซ
กเตอร์ ดันซอฟต์โลน 1 แสนล้าน หนุนดอกเบี้ยกู้ต่ำลง ปลดล็อกประวัติเครดิตบูโร ระบุระยะยาวรัฐต้องลงทุนเพิ่ม ไม่หวั่นขยายเพดานหนี้
สาธารณะหากเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง ย้ำบิ๊กเทคโลกจ่อคิวเจรจาลงทุนในไทยทั้ง อีวี เซมิคอนดักเตอร์ และดาต้าเซนเตอร์
  • รมว.คลัง เผยเร็ว ๆ นี้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์มาเพิ่มเติม โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการหารือ
ร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะไม่ปล่อยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
  • ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI ประเมินเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีโอกาสจะเติบโตได้
ดีกว่าครึ่งปีแรก และคาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ราว 2.5-2.8% โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนของ
ทั้งภาครัฐและเอกชน
  • ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) คาดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้ จากการเร่งใช้จ่ายงบ
ประมาณภาครัฐ รวมถึงนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและการขยายตัวของการส่งออก รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้นักลงทุน
ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งหมดนี้จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ถึง 3% และปี 68 คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่า 3% แต่สิ่งที่
น่ากังวลคือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและหนี้นอกระบบตั้งแต่ช่วงโควิด หากรัฐมีมาตรการช่วยเหลือจะคลายความกังวลได้ ขณะที่ตลาด
การเงินโลกกำลังเข้าสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จากที่คงอัตราดอกเบี้ยสูงมานาน ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นธนาคารกลางหลายประเทศสำคัญ
ปรับลดดอกเบี้ยลงแล้ว โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะชัดเจนมากขึ้นใน 1 ปี 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งจะเห็นกำลังซื้อและการส่งออกดี
ขึ้น
  • กระทรวงกิจการภายในญี่ปุ่นเปิดเผยวันนี้ (28 มิ.ย.) ว่า อัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวเร่งตัวขึ้นในเดือนมิ.ย. โดยได้
รับแรงหนุนจากราคาพลังงานและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาดในเดือนพ.ค. ซึ่งสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความ
เคลื่อนไหวดังกล่าวอาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค.
  • กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 6,000 ราย สู่ระดับ 233,000 รายใน
สัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 236,000 ราย
  • กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตร
มาส 1/2567 เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย.) โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่
2 ที่ระดับ 1.3% แต่ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 1.6%
  • ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (27 มิ.
ย.) หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา และทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
  • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันพฤหัสบดี (27 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงิน
ดอลลาร์และการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่าย
เพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
  • นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาด
การณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงานจะปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ใน
เดือนเม.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อ
เทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนเม.ย.
  • ทั่วโลกจับตาการประชันวิสัยทัศน์หรือการดีเบตระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีต

ประธานาธิบดีสหรัฐ เพื่อชิงคะแนนเสียงของชาวอเมริกัน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ