ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยที่จะกลายเป็นสังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจทำให้ธุรกิจสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุได้ประโยชน์ เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ธุรกิจดูแลสุขภาพต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจผลิตสินค้า/บริการ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุ
ในขณะเดียวกัน ก็มีบางธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น ไปจนถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องปรับตัวให้สอดรับกับตลาดสังคมสูงวัยยิ่งขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยในปี 67 จะอยู่ที่ราว 1.7 ล้านล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อน 3.8% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.2 ล้านล้านบาท ในปี 72 ที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด จากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นจากราว 14 ล้านคนในปัจจุบันไปอยู่ที่ 18 ล้านคน หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.3% (CAGR)
สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากการขยายตัวของสังคมสูงวัย อาจแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. ธุรกิจที่เน้นด้านสุขภาพ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจการดูแลสุขภาพ โดยการใช้จ่ายใน 2 หมวดนี้มี สัดส่วนรวมกันกว่า 37% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งสูงกว่าการใช้จ่ายในหมวดเดียวกันของช่วงวัยหรือ Generation อื่น ๆ ราว 3% สอดคล้องไปกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่าผู้สูงอายุไทยมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนราว 65% ของผู้สูงอายุที่ตอบแบบสำรวจทั้งหมด
สำหรับสินค้าและบริการที่น่าจะเป็นโอกาสในกลุ่มนี้ ได้แก่ ศูนย์โรคเฉพาะทาง ยาและเวชภัณฑ์ บริการดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home และ Care Giver) ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น โดยมีปัจจัยหนุนจากเทรนด์รักสุขภาพ ความเสี่ยงเจ็บป่วยต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคติดต่อไม่เรื้อรังของผู้สูงอายุ
ส่วนในหมวดอาหาร ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ และอาหารทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้ รูปแบบของอาหารควรเคี้ยวง่าย ย่อยง่าย มีขนาดที่พอเหมาะ และมีโภชนาการครบถ้วน
2. ธุรกิจอื่น ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้สูงอายุ คิดเป็นสัดส่วนราว 63% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของผู้สูงอายุ ซึ่งการใช้จ่ายต่อครั้งจะมีมูลค่าสูง แต่มีความถี่ในการใช้จ่ายน้อยกว่าการบริโภคสินค้าในกลุ่มแรก (อาหารและสุขภาพ) อาทิ
- ธุรกิจนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart Home Devices เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง อุปกรณ์แจ้งเตือนเมื่อเกิดอุบัติเหตุในบ้าน กล้องติดตามการเคลื่อนไหว ซึ่งต้องมีฟังก์ชันการใช้ที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีจอแสดงผลที่ใหญ่เพื่อง่ายต่อการใช้งานของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังรวมถึงอุปกรณ์ช่วยเหลือในชีวิตประจำวันให้แก่ผู้สูงอายุ อาทิ ไม้เท้าอัจฉริยะ เครื่องช่วยฟัง เป็นต้น
- ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง จากปัจจุบันผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมเลี้ยงสัตว์ของผู้สูงอายุเพื่อช่วยในการบำบัดรักษา (Pet Healing) ส่งผลให้สินค้าและบริการที่น่าจะได้ประโยชน์ เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และบริการดูแลสัตว์เลี้ยง
- ธุรกิจที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยผลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ในปี 66 ของ REIC พบว่ายังมีอยู่น้อย จากปัจจุบันมี 728 แห่งทั่วประเทศ รองรับผู้สูงอายุที่ได้เพียงราว 19,490 คนเท่านั้น ประกอบกับการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาพำนักอาศัยระยะยาวในไทย อาจหนุนให้เกิดการการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุมากขึ้น ขณะที่การปรับปรุงที่อยู่อาศัยเดิม ก็น่าจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ช่วยรองรับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้
- ธุรกิจบริการอื่น ๆ เช่น บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุ และ Reverse Mortgage สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการเงินไว้ใช้หลังเกษียณ แต่ไม่มีลูกหลานดูแล รวมถึงบริการ Entertainment ต่าง ๆ สำหรับผู้สูงอายุ ทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ อาทิ เกมช่วยบริหารสมอง และช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และเกมช่วยฝึกความไวของสายตา เป็นต้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ตลาดผู้สูงอายุมีแนวโน้มน่าสนใจมากขึ้น แต่ธุรกิจอาจมีความเสี่ยงจาก 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1. ตลาดแข่งขันรุนแรง เพื่อแย่งชิงลูกค้าที่มีศักยภาพ แม้ตลาดผู้สูงอายุจะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น แต่ในช่วง 2-3 ปีแรกของการเจาะตลาดผู้สูงอายุ ขนาดตลาดจะยังไม่ใหญ่มากตามจำนวนผู้สูงอายุไทยที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 23% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่จำกัด
ขณะที่ผู้สูงอายุที่มีรายได้สูงส่วนใหญ่ พบว่ามักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง ทำให้ธุรกิจที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้อาจต้องเผชิญการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่เข้มข้น จากคู่แข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน และญี่ปุ่น
นอกจากการปรับตัวของธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุแล้ว อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ การทำกลยุทธ์การตลาดไปที่ลูก-หลาน ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการแทนผู้สูงอายุ โดยเน้นที่คุณภาพ/ มาตรฐานของสินค้าและบริการ รวมถึงความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก
2. ธุรกิจมีต้นทุนในการปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย นอกเหนือจากต้นทุนหลักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจจะมีต้นทุนส่วนเพิ่มจากการปรับไลน์การผลิต/ พัฒนารูปแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ เช่น สินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ก็อาจต้องเพิ่มสารอาหารที่เหมาะสมกับวัยและโรคของผู้สูงอายุ ปรับบรรจุภัณฑ์ให้ใช้เปิด-ปิดง่าย เป็นต้น
รวมถึงบางธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น (Labor-intensive) ในภาคเกษตร การผลิต และการค้า ที่อาจต้องมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่จะรุนแรงในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกัน การปรับตัวดังกล่าวจะยิ่งมีความยากลำบากสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุน
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหมดราว 3.18 ล้านราย โดยธุรกิจที่มีสัดส่วน SMEs สูง ได้แก่ ค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต ก่อสร้าง และธุรกิจการเกษตร คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 63% ของจำนวน SMEs ทั้งหมด ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs ในธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า การปรับตัวรองรับสังคมสูงวัย โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่แม้จะใช้เงินลงทุนสูงในช่วงแรก แต่คาดว่าจะสร้างความคุ้มค่าในระยะกลาง-ยาวจากราคาเริ่มถูกลง เช่น ราคาหุ่นยนต์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม จะลดลงเฉลี่ยปีละ 11% (CAGR 2560-2568) และการใช้ AI ในธุรกิจจะมีต้นทุนลดลงจากการแข่งขันกันพัฒนาโมเดล/ความสามารถใหม่ ๆ โดยเฉพาะ Gen AI ซึ่งคงจะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น