นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโกเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ภาคตลาดการเงินที่ตึงตัวในระยะนี้จะยังคงเป็นปัจจัยที่ถ่วงให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า
"เราคิดว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่จะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้มากพอที่จะช่วยให้เศรษฐกิจรอดพ้นจากระดับที่ขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆได้" นายอีแวนส์กล่าว
"เราคาดว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะกลับมาเติบโตในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปี 2552 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวอยู่ระหว่าง 1.5-2.0% ภายในปี 2553 จากราคาอาหารและพลังงานที่ถีบตัวสูงขึ้น"
นายอีแวนส์กล่าวว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ เนื่องจากที่ผ่านมานั้น ผลกระทบในระบบการเงินอันเป็นผลพวงมาจากความเสียหายทางเศรษฐกิจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในระดับต่ำ โดยเขากล่าวว่า จากวิกฤตเงินออมและเงินกู้ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นปี 2533 เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งลำบากใจที่จะปล่อยเงินกู้ ซึ่งภาวะเช่นนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นให้เศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาจากภาวะถดถอย
"จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในกระบวนการปล่อยสินเชื่อต้องอยู่ในภาวะชะงักงันเป็นวงกว้าง แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2533 แล้วก็ตาม"
นายอีแวนส์ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงสำคัญในช่วงหลายเดือนต่อจากนี้ ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยิ่งเลวร้ายลง โดยเฉพาะตัวเลขบ้านค้างสต็อกที่ยังขายไม่ออกจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องอาศัยเวลาในการคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว
"ยอดการใช้จ่ายผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ชะลอตัวลงจะเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ตัวเลขดุลบัญชีที่ตึงตัวก็บ่งชี้ถึงสถานการณ์ในตลาดสินเชื่อที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นปัจจัยควบคุมอัตราการใช้จ่ายต่อไปอีกระยะหนึ่ง" นายอีแวนส์กล่าวทิ้งท้าย
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--