นายไพโรจน์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการค่าดังกล่าว มีวาระการพิจารณากรอบแนวทางการทบทวนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพื่อมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางฯ ให้ทุกจังหวัดใช้เป็นแนวทางการทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งได้นำเสนอแนวทางให้คณะกรรมการค่าจ้างพิจารณา 4 แนวทาง เมื่อที่ประชุมพิจารณาแล้ว ได้มีมติเสียงส่วนใหญ่ 7 ต่อ 5 เสียง เห็นชอบแนวทางที่ 2 คือ ให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ใช้สูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างฯ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.67
สำหรับการใช้สูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นแค่หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการไตรภาคีกำหนดขี้น ไม่มีบทบัญญัติใน พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ในมาตรา 87 เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกจังหวัด สามารถพิจารณาเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดของตนได้โดยอิสระ และในมาตรา 87 กำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษา และพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นโดยคำนึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานการครองชีพ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ ในการกำหนดสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นเพียงการนำตัวแปรบางตัวที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ ที่สามารถสะท้อนความเป็นจริงได้ใกล้เคียง ทั้งนายจ้าง และลูกจ้างมาพิจารณา
สำหรับการประชุมที่ต้องมีมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 นั้น มาตรา 82 กำหนดว่าเป็นเรื่องของการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งในครั้งนี้ยังไม่ใช่การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ จึงให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมเป็นมติการประชุมได้
ทั้งนี้ เมื่อทุกจังหวัดพิจารณาเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดมายังคณะกรรมการค่าจ้างแล้ว คณะกรรมการค่าจ้างจะมีการพิจารณาทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขันต่ำ ปี 2567 ในเดือนส.ค. - ก.ย.67 อีกครั้งหนึ่ง
"ในส่วนของความกังวลใจของหลายฝ่าย ต่อการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศนั้น กระทรวงแรงงาน ได้นำนโยบายรัฐบาลมาศึกษาและขยายผล โดยทั้งหมดจะอยู่ในหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อย่างมีหลักวิชาการ และเป็นมาตรฐาน ภายใต้อำนาจของไตรภาคี คือ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล โดยจะพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม และเป็นธรรมต่อนายจ้างและลูกจ้าง" นายไพโรจน์ กล่าว