นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะตกต่ำ สัญญาณการฟื้นตัวเป็นแบบค่อยๆ ฟื้นตัว และยังมีปัญหาใหญ่สุด คือ หนี้ครัวเรือน ซึ่งมีทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้บัตรเครดิต และหนี้ใช้จ่ายเพื่อการบริโภค
สำหรับหนี้บ้านที่ขณะนี้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ปล่อยสินเชื่ออยู่นั้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 34% ของหนี้ทั้งหมด โดยมีลูกหนี้ ธอส.ที่ไม่สามารถชำระคืนได้ประมาณ 8 หมื่นกว่าราย ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำโครงการคลีนิกแก้หนี้ด้วยการเจรจากับลูกหนี้ และให้ยืดเวลาการผ่อนชำระไปจนถึงอายุ 80-85 ปี หรือมีการปรับหลักเกณฑ์การคิดดอกเบี้ย ซึ่งในขณะนี้มีลูกหนี้เข้ามาพูดคุยกับ ธอส.แล้ว 5 หมื่นกว่าราย
ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นำรูปแบบการช่วยเหลือของ ธอส. ไปพูดคุยและขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดหนี้เสีย และจะได้กลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดีของธนาคารพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งในการประชุมวันนี้ มีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าร่วม จึงได้ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วย
สำหรับหนี้บัตรเครดิต ปัจจุบันมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งหมด 24 ล้านใบ เป็นหนี้เสียไปแล้ว 1.1 ล้านใบ และกำลังเป็นหนี้เสียอีก 2 แสนใบ รวมแล้ว กว่า 1.3 ล้านใบ โดยมีแนวทางการช่วยเหลือผ่านทางคลีนิกแก้หนี้ เพื่อยืดระยะการผ่อนชำระให้นานขึ้น และลดอัตราดอกเบี้ย 3-5% และในขณะนี้มีบริษัทบัตรเครดิตให้ความร่วมมือ
รมว.คลัง ยังได้ฝากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยติดต่อกับบริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่ ให้เข้าร่วมกับโครงการคลินิกแก้หนี้ รวมถึงฝากให้ ธปท.ช่วยพิจารณาทบทวนการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ จาก 8% กลับมาอยู่ที่ 5% ซึ่งตัวแทน ธปท.จะนำกลับไปพิจารณาอย่างเร่งด่วน
ที่ประชุมฯ ยังได้หารือเรื่องหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่มีผู้กู้ยืมกว่า 4 ล้านราย ซึ่งลูกหนี้บางคนไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นได้ เนื่องจากผิดนัดชำระดอกเบี้ยและต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงถึง 18% อีกทั้งยังเป็นปัญหากับผู้ค้ำประกัน และมีบางรายอายุกว่า 40 ปี แต่ยังติดหนี้ กยศ.อยู่
ดังนั้น ที่ประชุมฯ จึงสั่งการให้ กยศ.ไปปรับตัวเลขใหม่ เพราะกฎหมายใหม่อัตราดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระ จะคิดในอัตราเพียง 0.5% และให้คิดย้อนหลังตั้งแต่กู้ ซึ่งพบว่ามี 170,000 รายที่จ่ายดอกเบี้ยเกินแล้ว ซึ่งจะต้องคืนเงินให้ถึง 2,100 ล้านบาท และมีอีกประมาณ 2 ล้านกว่าราย ที่ยังติดหนี้ กยศ. แต่หนี้สูงเกินไป เพราะใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม ซึ่งจะช่วยลดหนี้ได้อีก 54,000 พันล้านบาท โดยให้ไปดูข้อมูลที่สถานศึกษาที่กู้แล้วทำสัญญาใหม่ ทำให้ภาระของผู้ค้ำประกันหมดไปทันที เพราะจะมีการคำนวณใหม่ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะช่วยลดหนี้ได้ 56,000 ล้านบาท รวมแล้วช่วยลูกหนี้ กยศ. 2.8 ล้านคน
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงที่รอโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต นายพิชัย กล่าวว่า ในระยะสั้นต้องทำให้คนทำงานฟื้นตัวได้ก่อน โดยเฉพาะคนที่ยังมีปัญหาหนี้ จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการยืดหนี้ เพื่อช่วยลดภาระ ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อยๆเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น จะส่งผลให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำปฏิทินผลไม้ เพื่อจะได้รู้ว่าส่วนที่เกินออกมานั้นจะเพิ่มช่องทางการจำหน่ายอย่างไร พร้อมทั้งขอความร่วมมือกับผู้ผลิตรายใหญ่ให้ช่วยลดราคาสินค้า นอกจากรายการธงฟ้าด้วย