นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบมาตรการลดราคาค่าพลังงาน โดยให้ตรึงค่าไฟฟ้างวดใหม่ที่ 4.18 บาท/หน่วยและคงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟไม่เกินเดือนละ 300 หน่วยคิดค่าไฟที่ 3.99 บาท/หน่วย เหมือนเดิมไปจนถึงสิ้นปีนี้ พร้อมทั้งตรึงเพดานราคาดีเซลที่ 33 บาท/ลิตรไปจนถึงสิ้นเดือน ต.ค.67 โดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันไปก่อน
"ที่ประชุม ครม.มีมติให้ต่อเวลาตรึงราคาค่าไฟฟ้าที่ 4.18 บาท/หน่วยไปอีก 4 เดือน (กันยายน - ธันวาคม) รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือนไว้ที่ 3.99 บาทเช่นเดิม ไม่มีการขึ้นค่าไฟตามที่มีข่าว" รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน กล่าว
สำหรับการตรึงค่าไฟนั้น กระทรวงพลังงานมีวิธีการ ยืนยันว่าจะไม่มีผู้ใดเดือดร้อน และไม่ต้องให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้าไปแบกรับภาระ
"จะได้เงินส่วนต่างจากค่าไฟฟ้าไปจ่าย แต่จะจ่ายในจำนวนที่ลดน้อยลง และนำไปชำระหนี้ให้ กฟผ.ด้วย ซึ่งการชำระจะจ่ายตามงวดค่าไฟฟ้า และการชำระหนี้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายในงวดเดียวทั้งหมด เพราะการจ่ายหนี้งวดเดียวจบ ประชาชนจะเป็นผู้เบาะแบกรับหนี้ ซึ่งไม่มีเหตุจำเป็นที่จะทำเช่นนั้น ฉะนั้นการทยอยจ่ายเป็นรายงวด ก็มีค่าเท่ากัน" นายพีระพันธุ์ กล่าว
ส่วนการตรึงเฉพาะเพดานราคาดีเซล ขณะที่ผู้ใช้น้ำมันเบนซินก็เดือดร้อนเช่นกันนั้น รมว.พลังงาน กล่าวว่า กลไกน้ำมันเป็นเช่นนี้มานานกว่า 50 ปี ซึ่งตนเองก็ไม่ได้พอใจ ขณะนี้กำลังพยายามแก้ไขกฎหมาย โดยยกร่างต้นฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังส่งให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบ และจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้ง เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันได้
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าร่างกฎหมายฉบับนี้คงออกมาใช้ไม่ทันวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งเป็นวันที่สิ้นสุดระยะเวลาการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 33 บาท/ลิตร เนื่องจากต้องส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก่อน ดังนั้น การบริหารราคาน้ำมันหลังจากวันที่ 31 ต.ค.ต้องใช้กฎหมายเดิมไปก่อน หากมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อใดก็จะต้องมีการปรับระบบทั้งหมด แต่เชื่อว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังแบกรับไหว แต่ก็คงต้องไปพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะมีวิธีการอย่างไรต่อไป รวมถึงการจะใช้กลไกลดภาษีสรรพสามิตหรือไม่ด้วย คงต้องหารือกันอีกครั้ง
สำหรับการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันด้วยการออกกฎหมายใหม่นี้ จะได้รับความร่วมมือจากฝ่ายอื่นหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่มีการขัดแข้งขัดขากันแน่น เพราะเรื่องนี้เป็นผลประโยชน์ประชาชน ประชาชนคือผู้ได้ผลประโยชน์โดยรวม และจากการพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่มีใครมีปัญหา