ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าตามที่ประเมินไว้ โดย SCB EIC ยังคงมุมมองการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 67 ไว้ที่ 2.5% สำหรับในครึ่งหลังของปีนี้ มีแรงส่งหลักจากภาคบริการ ตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเร่งตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก ด้วยปัจจัยสนับสนุน ทั้งมาตรการวีซ่าใหม่ การขยายเที่ยวบิน และการจัดงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ รวมถึงภาคส่งออกที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น
ในระยะข้างหน้า ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจที่สำคัญ ยังคงมาจากภาคการผลิตที่ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนนัก สะท้อนจากความเชื่อมั่นผู้ประกอบการตลาดในประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งสินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง และมีแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบชัดเจน และมีแนวโน้มหดตัวในปีนี้แบบ Broad-based โดยยอดการผลิตถูกฉุดรั้งจากอุปสงค์ในประเทศที่ซบเซา และคาดว่าในปี 67 จะหดตัวต่ำสุดในรอบ 14 ปี ประกอบกับแนวโน้มการบริโภคสินค้าคงทนแผ่วลง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นช้า และราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐเริ่มชะลอตัวลง โดย SCB EIC ประเมินว่าการเร่งเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่ง พ.ร.บ.งบประมาณปี 67 ประกาศใช้ล่าช้าได้
ด้านเงินเฟ้อ SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อทั่วไป จะทยอยเร่งตัวกลับสู่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ได้ในช่วงสิ้นปี ตามการเร่งตัวของราคาพลังงานจาก (1) ค่าไฟฟ้าในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 67 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 4.65 บาท/หน่วย ซึ่งเป็นผลจากราคาก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงปลายปี รวมถึง (2) ราคาน้ำมันในประเทศที่มีแนวโน้มเร่งตัว ตามนโยบายช่วยเหลือที่จะทยอยหมดไป
SCB EIC ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า ตามความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่จะเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้แรงส่งอุปสงค์ในประเทศแผ่วลง ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่จะปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้ ต้นทุนการปรับลดดอกเบี้ยจะปรับลดลงจากภาคการเงินที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้การลดดอกเบี้ยจะไม่กระตุ้นการก่อหนี้ใหม่
สำหรับเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็ว หลังตัวเลขตลาดแรงงาน และเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาด ทำให้ประเมินว่าในระยะสั้นเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นในกรอบ 35.70-36.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในระยะต่อไป เงินบาทจะแข็งค่าต่อได้ไม่มาก แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง ทั้งการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และการเมืองไทย ณ สิ้นปีนี้จึงมองว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นที่ราว 35.00-36.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
เศรษฐกิจโลก เริ่มส่งสัญญาณชะลอลงตามคาด ภาพรวมกิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว ชะลอตัวทั้งภาคบริการ และภาคการผลิต ขณะที่กิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาชะลอตัวจากภาคบริการเป็นหลัก ส่วนภาคการผลิตเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย
โดยในปีนี้ การเลือกตั้งทั่วโลกยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ผลการเลือกตั้งในสหราชอาณาจักร มีแนวโน้มจะทำให้นโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนจากเดิม โดยพรรคแรงงานที่ชนะการเลือกตั้ง อาจเน้นการใช้จ่าย และลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น เปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เก็บภาษีผู้มีรายได้สูงเพิ่ม และหันมาฟื้นฟูการค้ากับสหภาพยุโรปมากขึ้น
ขณะที่ผลการเลือกตั้งในฝรั่งเศส จะทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูงขึ้น และความพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจที่ดำเนินมาอาจทำได้ไม่ต่อเนื่อง เพราะไม่มีกลุ่มการเมืองใดได้ที่นั่งเบ็ดเสร็จ และแต่ละกลุ่มมีทิศทางนโยบายต่างกันมาก ในระยะข้างหน้า การเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าโลก
ในส่วนของนโยบายการเงินโลกจะลดความตึงตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง SCB EIC ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. รวม 50 BPS จากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับชะลอลง และการสื่อสาร Dovish มากขึ้นของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง รวม 50 BPS ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. หลังจากปรับลดครั้งแรกในไตรมาส 2
ขณะที่ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากปรับขึ้นครั้งแรกในไตรมาส 1 สำหรับในระยะข้างหน้า การทยอยลดความผ่อนคลายของนโยบายการเงินญี่ปุ่น จะเป็นไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับแย่ลง และเงินเฟ้อจะชะลอลงตามราคาสินค้านำเข้าและค่าจ้าง