ส่งออกทุเรียนไปจีนหดตัวลึก ฉุดส่งออกไทย มิ.ย. พลิกติดลบ 0.3%

ข่าวเศรษฐกิจ Friday July 26, 2024 17:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ส่งออกทุเรียนไปจีนหดตัวลึก ฉุดส่งออกไทย มิ.ย. พลิกติดลบ 0.3%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกไทยในเดือน มิ.ย. 67 พลิกหดตัวที่ 0.3%YoY สวนทางกับตลาดที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 2.6%YoY โดยปัจจัยฉุดมาจากการส่งออกทุเรียนสดไปจีนที่ลดลง 42.9%YoY ซึ่งส่งผลให้การส่งออกไทยไปจีนในเดือน มิ.ย. 67 ติดลบที่ 12.3%YoY เนื่องจากปัจจัยฐานที่สูงในเดือน มิ.ย. 66

ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกทุเรียนทั้งปีมีแนวโน้มหดตัวจากปีก่อนหน้า เนื่องจากผลผลิตออกมาน้อยตามสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ การส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปจีนหดตัวต่อเนื่อง

ขณะที่การส่งออกรถยนต์พลิกกลับมาขยายตัว รวมถึงส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกรถยนต์กลับมาขยายตัวได้ถึง 13.5%YoY จากการส่งออกรถยนต์นั่งและปิคอัพที่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียน และตลาดรองอื่น ๆ อาทิ เม็กซิโก และซาอุดิอาระเบีย

ด้านการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ได้แก่ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ HDDs เครื่องพิมพ์ และโทรศัพท์และส่วนประกอบ ซึ่งหนุนให้การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แนวโน้มการส่งออกไทยมีโอกาสขยายตัวได้ต่ำลงกว่าครึ่งปีแรก ที่ขยายตัว 2.0%YoY จากปัจจัยเสี่ยงเชิงลบที่เพิ่มขึ้น ดังนี้

1. เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง จากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแรง อาทิ สหรัฐฯ และจีน ซึ่งการส่งออกไทยไปยังตลาดดังกล่าวมีสัดส่วนรวมกันราว 30% ของการส่งออกไทยทั้งหมด นอกจากนี้ สหรัฐฯ มีปริมาณสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือเพิ่มขึ้น 1.6% ตั้งแต่ต้นปี จึงอาจส่งผลให้เกิดการชะลอการนำเข้าสินค้าในระยะข้างหน้า

2. ไทยมีได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกจำกัด เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยสินค้าที่ไทยส่งออกมีมูลค่าและความซับซ้อนค่อนข้างต่ำ สะท้อนจากการส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ขยายตัวได้ต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม เป็นต้น โดยตัวเลขการส่งออกเกาหลีใต้ 20 วันแรกของเดือนก.ค. 67 ขยายตัวถึง 18.8%YoY

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงประมาณการภาพรวมการส่งออกไทยในปี 67 ขยายตัวที่ 1.5% โดยยังคงต้องติดตามประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ