เมื่อ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา ราคาทองคำทำนิวไฮที่ 2,483 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ แรลลี่ขึ้นมาราว 100 เหรียญจากความคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ คือ เดือน ก.ย. และ เดือน ธ.ค. แต่หลังจากนั้นราคาก็ร่วงแรงจนหลุด2,400 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ลงมาแตะ 2,396 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. เป็นผลจากการขายทำกำไร
แล้วทิศทางราคาทองคำช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร จะลงไปต่อหรือไม่ Wealth Me Please พามาพูดคุยกับนายจรณเวท ศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการฝ่ายแนะนำการลงทุน บริษัท คลาสสิค ออสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด ที่มองว่าปัจจัยต่าง ๆ ยังกดดันราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง จนอาจไม่ได้เห็นราคาขึ้นไปทำนิวไฮอยางที่หลายฝ่ายคาด
โดยเฉพาะ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ นอกเหนือจากอัตราเงินเฟ้อ เพราะแม้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะระบุว่าคงไม่รอให้เงินเฟ้อลงไปแตะ 2% แล้วค่อยปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ตัวเลข PMI ทั้งภาคการผลิตและการบริการฟื้นตัวทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ซึ่งมีผลลบต่อราคาทองคำ
ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.นี้ ผลโพลเทคะแนนไปทางนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสกลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งไม่น่าจะส่งผลดีต่อราคาทองคำ
โดยให้แนวต้านที่ 2,500 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และมองแนวรับหลักที่ 2,300 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ดังนั้น แนะนำการเล่นเก็งกำไร ควรจะวางจุดทำกำไรชัดเจน และตั้งจุด Stop loss ให้ชัดเจนเช่นกัน หรือหากใครถือทองคำไว้เยอะแนะให้ลดพอร์ตทำกำไรออกมาบ้าง
สำหรับราคาทองในประเทศ ต้องคำนึงถึงเงินบาท เพราะเมื่อใดที่ราคาทองคำในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทจะแข็งค่า ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อราคาทอง มองช่วงครึ่งปีหลังการเทรดทองในไทยยากกว่าเทรดทองโลก ให้แนวต้านที่ 43,000 บาท แนวรับใหญ่ 40,000 บาท แต่หากเอาไม่อยู่ให้แนวรับถัดไปลงไปลึก 35,000-37,000 บาทต่อบาททองคำ
https://youtu.be/Ug18_NbI16U