นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูกเข้ามาในไทย ซึ่งอาจกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ ว่า ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทุกกรมในสังกัดกระทรวงพาณิชย์, กรมศุลกากร กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง, กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ), กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) มาหารือเพื่อหาทางแก้ปัญหาเร่งด่วน โดยจะพิจารณาผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค โดยเฉพาะมาตรฐานสินค้าที่นำเข้า เช่น อาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งผลกระทบกับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการในไทยด้วย
ทั้งนี้ ในการพิจารณาการแก้ปัญหานั้น ได้แบ่งสินค้านำเข้าที่วางขายในไทยเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบมีหน้าร้าน (ออฟไลน์) และ ขายออนไลน์ โดยสินค้าที่ขายแบบออฟไลน์นั้น ใน 1-2 วันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะลงพื้นที่ตรวจสอบว่าสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่วางขายในไทย ได้ทำถูกกฎหมายไทยหรือไม่ เพราะจากการสุ่มตรวจสอบ พบว่าร้านค้าในแหล่งที่มีคนต่างชาติอยู่มาก คนขายไม่ใช่คนไทย ไม่มีวีซ่าเข้าประเทศ ไม่มีใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ หรือจดทะเบียนนิติบุคคล
"ใน 1-2 วันนี้ จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบการขายสินค้าราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศ ว่า มีการทำธุรกิจในไทยอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น มีการจดทะเบียนพาณิชย์ จดทะเบียนนิติบุคคลหรือไม่ สินค้าที่นำเข้ามีคุณภาพได้มาตรฐานหรือไม่ เป็นสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาหือไม่ เป็นต้น หากพบความไม่ถูกต้อง ก็จะใช้กฎหมายที่มีอยู่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดดำเนินการ โดยต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการดำเนินการในระยะร่งด่วน ส่วนระยะกลาง และยาวก็ต้องมาดูว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใดๆ บ้าง เพื่อให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น" ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
ขณะที่สินค้าที่จำหน่ายผ่านออนไลน์นั้น ได้ขอความร่วมมือกรมศุลกากร จัดส่งสินค้า 10 อันดับแรก ที่นำเข้าจากต่างประเทศสูงสุดผ่านการซื้อทางออนไลน์ เพื่อดูว่าสินค้านั้นเป็นไปตามาตรฐานหรือไม่ หรือเป็นสินค้าทดแทน หรือเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องนำเข้า รวมถึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูว่า แพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ ที่ให้บริการซื้อขายผ่านทางออนไลน์ในไทยนั้น กฎหมายไทย จะสามารถเข้าไปดำเนินการในส่วนใดได้บ้าง เช่น กำหนดให้ต้องตั้งสำนักงานตัวแทนในไทย หรือต้องจดแจ้งใดๆ หรือไม่
โดยเบื้องต้น สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) แจ้งว่า ภายใต้พระราชกฤษฎีกาการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล พ.ศ. 2565 มาตรา 18 (2) และ (3) กำหนดให้แพลตฟอร์มดิจิทัล ที่แม้ไม่ได้ตั้งอยู่ในไทย แต่มีลูกค้าในไทย หรือมีความเสี่ยงต่อการเงิน การพาณิชย์ หรืออาจกระทบ หรืออาจเกิดความเสียหายต่อสาธารณะชน ต้องมาจดแจ้งข้อมูลกับ ETDA ด้วย
"การซื้อขายผ่านออนไลน์ กำลังดูว่าจะมีมาตรการอะไรมาดำเนินการเพิ่มเติมได้อีก นอกเหนือจากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับสินค้านำเข้าที่ซื้อผ่านทางออนไลน์ ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เริ่มตั้งแต่บาทแรก ที่คลังได้จัดเก็บแล้ว" นายวุฒิไกร กล่าว