นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เชื่อมั่นว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะการพิจารณาคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 ส.ค.นี้ จะไม่มีผลกระทบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลมั่นใจว่าจะผ่านไปได้ ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะมีผลดีกับตลาดทุน นักลงทุนจะคลายความกังวลลง ส่งผลให้สถานการณ์ในตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ดี มองว่าปัจจัยที่มีผลกับตลาดทุนไทยในขณะนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศเข้ามากดดัน และสร้างความผันผวนให้การลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ
ส่วนกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งรายงานถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) แนะให้รัฐบาลระมัดระวังโครงการดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมทั้งให้นำความเห็นและข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ มาประกอบการพิจารณาในหลายประเด็นนั้น นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลได้รับความคิดเห็นของทุกหน่วยงานที่ส่งเข้ามา เพื่อนำไปพิจารณาว่าจะสามารถดำเนินการในประเด็นใดได้บ้าง สะท้อนจากที่ผ่านมา ที่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดและข้อจำกัดต่าง ๆ ในโครงการ ซึ่งเป็นไปตามกลไกเพื่อให้ล้อไปกับข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์จากทุกหน่วยงานต่าง ๆ ที่รัฐบาลรับมาและดำเนินการแล้ว
"ไม่กังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพราะที่ผ่านมา รัฐบาลได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกหน่วยงานอยู่แล้ว และมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของโครงการตามความเหมาะสมเรียบร้อย" นายจุลพันธ์ ระบุ
สำหรับความคิดเห็นและข้อสังเกตของ ธปท. ในการสั่งการของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อการกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต และคณะอนุกรรมการกำกับการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของประชาชน และร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ความเสี่ยงที่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนบางกลุ่มนั้น นายจุลพันธ์ ระบุว่า รัฐบาลมีหลายกลไกที่ดำเนินการในเรื่องนี้ เช่น เรื่องการบังคับการใช้จ่าย 2 รอบ รวมถึงการตัดร้านค้าขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ ก็เป็นอีกกลไกที่ตอบสนองโจทย์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่กระจายตัว ไม่กระจุกตัว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่าร้านสะดวกซื้อ เช่น เซเว่นอีเลฟเว่น (7-11) และมินิบิ๊กซี เป็นต้น สามารถเข้าร่วมโครงการได้นั้น รมช.คลัง ยืนยันว่าร้านสะดวกซื้อดังกล่าวเข้าร่วมโครงการได้จริง แต่ในคำว่าร้านสะดวกซื้อ ก็ไม่ได้มีแค่ร้านดังกล่าว เพราะตามข้อเท็จจริงรัฐบาลมีลิสต์รายชื่อร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศในปัจจุบันเยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ตามชนบท ดังนั้นการจะไปตัดสิทธิ์ร้านสะดวกซื้อทั้งหมด ก็อาจจะต้องมาพิจารณากันอย่างละเอียด
ส่วนความเห็นของสภาพัฒน์ ที่มองว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคเพิ่มเติม แต่ควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เป็นสาเหตุของการขยายตัวในเกณฑ์ต่ำของเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว นั้น รมช.คลัง เห็นว่า อาจจะเป็นมุมมองที่แตกต่างกัน
"กลไกนี้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ แต่ไม่ใช่มิติเดียว โดยรัฐบาลยังเร่งดำเนินการในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรม S-curve การพัฒนาฝีมือแรงงาน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนโครงการดิจิทัล วอลเล็ตนั้นเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น แต่ยังเป็นกลไกในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลในระยะยาวด้วย วันนี้เราก็เห็นจากการที่มีคนเข้ามาเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่าเหตุใดรัฐบาลไม่แจกเป็นเงินสด ก็อยากชี้แจงว่า ด้วยกลไกนี้รัฐบาลต้องการที่จะปรับให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขัน และรองรับเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปในรูปแบบดิจิทัล" รมช.คลัง กล่าว
พร้อมยืนยันว่า การดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง แม้จะต้องยอมรับว่าโครงการจะต้องมีการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะเข้ามาเติมในหนี้สาธารณะ เป็นการขาดดุลเพิ่มเติม แต่รัฐบาลจะบริหารงานอย่างระมัดระวัง
"ปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 11.5 ล้านล้านบาท แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หนี้สาธารณะก็ปรับเพิ่มขึ้นจาก 5 ล้านล้านบาท เป็น 10 ล้านล้านบาท แต่ไม่มีกลไกในการบริหาร พัฒนา หรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเลย ขณะนั้นก็ควรเตือนกันบ้าง แต่ทำไมไม่เตือน" นายจุลพันธ์ กล่าว