นายณอคุณ สิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามการขยายการให้บริการและส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในเรื่องจำนวนสถานีและปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ไม่เพียงพอ รวมถึงปัญหาการเติมเอ็นจีวีล่าช้า คาดว่าภายในเดือน มิ.ย.นี้ปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลง
ทั้งนี้ ภายในเดือน มิ.ย.นี้จะมีสถานีบริการเอ็นจีวีเพิ่มเป็น 234 แห่ง และถึงสิ้นเดือน ธ.ค.51 จะเพิ่มเป็น 355 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 177 แห่ง ส่วนการจัดหาปริมาณก๊าซที่จะมาให้บริการนั้นจะเพิ่มจาก 1,000 ตัน เป็น 1,400 ตัน ภายในเดือน มิ.ย.นี้ และเพิ่มเป็น 3,500 ตันในปลายปีนี้
นอกจากนี้จะขยายสถานีแม่ที่มีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ นิมิตใหม่, รังสิต และลาดหลุมแก้ว ให้มีปริมาณก๊าซสำรองเพิ่มอีก 750 ตันต่อวันภายในปลายปีนี้ และภายในปลายปีนี้จะเปิดสถานีแม่ใหม่อีก 5 แห่ง ได้แก่ ประชาอุทิศ, ลำลูกกา, นิมิตใหม่ 2, เทพารักษ์ และสวนพฤกษ์ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซเป็น 1,275 ตันต่อวัน รวมทั้งสร้างสถานีลูกตามแนวท่อส่งก๊าซอีก 16 แห่ง และสถานีลูกขนาดใหญ่อีก 5 แห่ง
สำหรับรถบรรทุกขนส่งเอ็นจีวีไปยังสถานีเอ็นจีวีจะมีเพิ่มจาก 389 ตัน เป็น 526 คันในเดือน มิ.ย.นี้ และเพิ่มเป็น 900 คัน ในเดือน ธ.ค.51
นายณอคุณ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์จำนวน 72,950 คัน แยกเป็นรถยนต์เบนซิน 60,230 คัน และรถยนต์ดีเซล 9,900 คัน คิดเป็นปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 58 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ทดแทนน้ำมันมูลค่าปีละปริมาณ 18,000 ล้านบาท(อ้างอิงราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 30 บาทต่อลิตร) คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีปริมาณรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นเป็น 120,000 คัน หรือคิดเป็นปริมาณการใช้ก๊าซเกือบ 100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
ขณะที่ราคาเอ็นจีวีนั้นตามมติคณะรัฐมนตรีกำหนดว่าราคาจะต้องไม่เกินครึ่งหนึ่งของราคาน้ำมันดีเซล โดยกำหนดให้ตรึงราคาไว้ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัมจนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนในปีหน้าจะสามารถปรับราคาได้ไม่เกิน 12 บาทต่อกิโลกรัม และในปี 53 จะปรับราคาได้ไม่เกิน 13 บาทต่อกิโลกรัม
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ธนวัฏ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--