หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เช่นเดียวกับการประชุมครั้งที่แล้ว โดยเศรษฐกิจไทยในภาพรวมขยายตัวสอดคล้องกับที่ กนง. ประเมินไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้บ้าง จากปัจจัยด้านอุปทานและจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ในช่วงปลายปีนี้
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่าการสื่อสารของ กนง. ในรอบนี้มีท่าทียืดหยุ่น (Dovish) มากขึ้น จาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. กนง. ประเมินว่า อุปสงค์ในประเทศมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า การบริโภคภาคเอกชนจะมีแนวโน้มชะลอลง และยังต้องติดตามว่าการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวแรงในไตรมาส 2 เป็นปัจจัยชั่วคราวมากเพียงใด
2. กนง. ให้ความสำคัญของการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันในแต่ละภาคส่วนเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่สินเชื่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์หดตัว
3. กนง. เริ่มให้ความสำคัญกับการติดตามความเชื่อมโยงระหว่างพัฒนาการของเศรษฐกิจและภาวะการเงิน ซึ่งสะท้อนความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่า ภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยเฉพาะจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง ซึ่งส่งผลให้มาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเข้มงวดขึ้น และอาจกระทบกิจกรรมเศรษฐกิจตามมา
SCB EIC จึงคาดว่า กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4/67 และจะลดอีกครั้งในไตรมาส 1/68 เพื่อช่วยผ่อนคลายภาวะการเงินในประเทศ หลังจากภาวะการเงินตึงตัวขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับความเปราะบางทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่มีอยู่เดิม ส่งผลให้แรงส่งเศรษฐกิจไทยจากอุปสงค์ในประเทศแผ่วลง จะเห็นชัดเจนขึ้นในช่วงปลายปีนี้ "ประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปีหน้า"
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศ ทำให้นโยบายการเงินไทยจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทประคับประคอง Momentum ของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ามากขึ้น
SCB EIC มองว่า พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นยังคงเป็นไปตามที่ กนง. ประเมินไว้ สะท้อนจากตัวเลขการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 2 ที่ออกมาใกล้เคียงกับตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาองค์ประกอบการขยายตัวจะเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอลงของแรงส่งอุปสงค์ในประเทศ สะท้อนว่าในระยะข้างหน้า มีความเสี่ยงที่อุปสงค์ในประเทศจะไม่สามารถเป็นแรงประคับประคองเศรษฐกิจได้เหมือนที่ผ่านมา
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย และหากขจัดปัจจัยฐานและปัจจัยชั่วคราวจากราคาพลังงานและอาหารสดออกแล้ว อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็ยังอยู่ในระดับต่ำมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแรงกดดันด้านอุปสงค์ในประเทศที่มีต่ำ สัญญาณการชะลอลงของอุปสงค์ในประเทศนี้ ทำให้ SCB EIC มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 68 อาจขยายตัวต่ำกว่าที่ได้ประเมินไว้
สำหรับภาวะการเงินไทย โดยรวมอยู่ในระดับตึงตัว สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง ซึ่งเพิ่มขึ้นสูงกว่าในอดีตค่อนข้างเร็ว นอกจากนี้ ภาคครัวเรือนอาจเผชิญภาวะการเงินตึงตัวแรงกว่าภาคส่วนอื่น เพราะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานการให้สินเชื่อครัวเรือนของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ที่ปรับเข้มงวดขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคครัวเรือนสามารถก่อหนี้ได้น้อยลงกว่าในอดีตมาก การเริ่มลดดอกเบี้ยในภาวะเช่นนี้จึงไม่ได้มีผลกระตุ้นการก่อหนี้มากจนน่ากังวล และไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการลดหนี้ในระบบเศรษฐกิจ (Debt Deleveraging)
นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปี จะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากภาวะการเงินโลกมีแนวโน้มผ่อนคลายมากขึ้น ตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งในปีนี้ และความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจไทยที่สูงขึ้น
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ยังคงมีความเป็นไปได้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังเปราะบาง สะท้อนจากมุมมองของ กนง. ต่อภาพเศรษฐกิจที่แผ่วลงในช่วงครึ่งหลังของปี 67 ซึ่งคาดว่า GDP เติบโต 0.7%QoQ (เทียบกับ 1.2% ในครึ่งปีแรก) ตามการบริโภคระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัวและมีบทบาทน้อยลงต่อการขยายตัวในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่การลงทุนอาจเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มเติมจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการผลิต
ทั้งนี้ สอดคล้องกับที่ Krungthai COMPASS ประเมินเช่นกันว่า เศรษฐกิจช่วง 2H/67 ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำจากการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และการปรับตัวลงของความเชื่อมั่นผู้บริโภค ประกอบกับการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งอาจแผ่วลงจากสัญญาณการนำเข้าสินค้าทุนที่ติดลบ และการหดตัวของดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ปัจจัยหนึ่งจากการตีตลาดของสินค้าจีนซึ่งจะรุนแรงมากขึ้น ตามการยกระดับของสงครามการค้าและปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ มุมมองของ กนง. ต่อทิศทางอัตราเงินเฟ้อทั่วไปซึ่งปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้ จะช่วยเปิดช่องเพิ่มเติมสำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในระยะข้างหน้า ส่วนหนึ่งจากราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีนเพิ่มขึ้น
Krungthai COMPASS มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอ่อนแรง โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ครอบคลุมสินค้า 67.06% ของตะกร้าเงินเฟ้อ) ล่าสุดในเดือน ก.ค. 67 อยู่ที่เพียง 0.52% ทรงตัวต่ำกว่า 1.0% มาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว สะท้อนถึงกำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ