นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อเสนอให้ ธปท. ปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จากปัจจุบันที่ 0.46% ลงมาเหลือ 0.23% เพื่อนำเงินนี้ให้สถาบันการเงินได้เข้ามาช่วยแก้หนี้ให้ประชาชน ว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะตอบ และให้ความเห็นในเรื่องนี้"
ด้าน น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ระบุว่า ปัจจุบันเงินนำส่งเพื่อใช้หนี้คืน FIDF เรียกเก็บจากสถาบันการเงิน 0.46% ต่อปี จะได้ประมาณ 70,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นปีละ 2 งวด หรืองวดละ 35,000 ล้านบาท โดย FIDF ยังมีหนี้ที่ต้องใช้คืน 5.8 แสนล้านบาท มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายปีละ 16,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้น ก.ย. 67 หนี้จะลดลงเหลือ 5.5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ หากให้ลดเงินนำส่งเหลือ 0.23% ตามข้อเสนอ ดอกเบี้ยจะไม่ได้ถูกลดลงไป 5,000 ล้านบาท และจะเกิดต้นทุน ทำให้เงินต้นลดลงช้าไปอีกครึ่งปี หากให้ลดเงินนำส่งเหลือ 0.23% เป็นระยะเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม หนี้จากกองทุน FIDF นี้ยังอยู่ภายใต้บัญชีงบดุลของกระทรวงการคลัง และถูกคิดรวมเป็นหนี้สาธารณะด้วย
ผู้ว่าฯ ธปท. ยังกล่าวถึงการประสานการทำงานกับหน่วยงานอื่นว่า ได้มีการทำงานร่วมอยู่กันตลอดกับทั้งรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ แต่ก็อาจจะไม่ค่อยเป็นข่าว ในขณะที่ข่าวที่ออกมามักจะเป็นมุมเรื่องความเห็นต่าง ซึ่งการที่แต่ละฝ่ายมีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นเพราะต่างสวมหมวกกันคนละใบ ทางธปท.สวมหมวกเรื่องเสถียรภาพ แต่กระทรวงการคลังสวมหมวกเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
ส่วนที่นายทักษิณ พูดตอนหนึ่งถึงการเคารพความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของธปท.นั้น นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท.พร้อมทำงานกับทุกคนทุกฝ่าย ส่วนความเป็นอิสระนั้นก็จะต้องเป็นความอิสระที่อยู่บนความรับผิดชอบด้วย