ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินมูลค่าการส่งออกไทยปี 67 จะกลับมาขยายตัวได้ 2.6% จากที่เคยหดตัวในปีก่อน และจะขยายตัวต่อเนื่องได้เล็กน้อยในปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก
1. เศรษฐกิจโลกปี 67 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง 2.7% ตามประมาณการเดิม โดยมุมมองต่อเศรษฐกิจยูโรโซน อินเดีย และอาเซียน- 5 ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยปรับดีขึ้นเล็กน้อย เศรษฐกิจโลกปี 68 เติบโตสูงกว่าประมาณการเดิมเล็กน้อยที่ 2.8% (เดิม 2.7%) เนื่องจากประเทศเศรษฐกิจสำคัญ มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าประมาณการเดิม โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทย ขณะที่ยังคงมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาเซียน-5 และอินเดีย
2. ปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยจากประมาณการเดิม ทั้งมุมมองขององค์กรการค้าโลก (WTO) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World bank) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยลดลง จะส่งให้มีอุปสงค์สินค้านำเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ IMF ปรับประมาณการปริมาณการค้าโลกในปี 67 และ 68 เพิ่มขึ้นเป็น 3.1% และ 3.4% ตามลำดับ
3. การส่งออกอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และกลุ่ม Power electronics ในตลาดโลกที่ขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรขาขึ้นของคอมพิวเตอร์ที่ฟื้นตัว
4. ระดับน้ำในคลองปานามากลับมาอยู่ในระดับปกติได้อีกครั้ง หลังจากเผชิญภาวะแห้งแล้งตั้งแต่ปี 66 ส่งผลให้การเดินเรือระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรแอตแลนติก กลับเป็นปกติมากขึ้น ช่วยลดแรงกดดันต่อการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ค่าระวางเรือในโลกยังคงอยู่ในระดับสูงเทียบค่าเฉลี่ยในอดีต และปัญหาการขนส่งบริเวณคลองสุเอซ ยังคงมีอยู่จากสงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อ
กระทรวงพาณิชย์ รายงานมูลค่าการส่งออกล่าสุดในเดือน ก.ค.67 อยู่ที่ 25,720.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวสูงถึง 15.2%YOY สูงสุดในรอบ 28 เดือน (2 ปี 4 เดือน) และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก จากเดือนมิ.ย.67 ที่หดตัวเล็กน้อย -0.3% สำหรับภาพรวมมูลค่าการส่งออกไทย 7 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 171,010.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 3.8%
ทั้งนี้ เหตุที่การส่งออกขยายตัวได้สูงมาก เป็นผลจาก (1) อุปสงค์ตลาดโลกต่อสินค้าไทยปรับดีขึ้นในระยะสั้น สะท้อนจากการส่งออกไม่รวมทองคำ (ปรับฤดูกาล) ที่ขยายตัว 2% สูงสุดในรอบ 3 เดือน (2) มูลค่าการส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบขยายตัวมากถึง 82.6% จากความต้องการในตลาดโลกที่กลับมาฟื้นตัวตามวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น ปัจจัยนี้มีส่วนช่วยให้มูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ค. ขยายตัวสูงได้ถึง 3.7% จากอัตราการเติบโตของการส่งออกเดือนนี้ที่ 15.2% (3) การส่งออกทองคำที่ขยายตัวมากถึง 434.4% มีส่วนช่วยให้มูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ค. ขยายตัวได้ถึง 4.7% และ (4) ปัจจัยฐาน มูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ค.66 อยู่ที่ 22,320.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งปี และค่าเฉลี่ยเดือน ก.ค. ในอดีต
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน ก.ค. อยู่ที่ 27,093.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาขยายตัว 13.1% หลังจากขยายตัวต่ำที่ 0.3% ในเดือนก่อน โดยการนำเข้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัว -45.1% รุนแรงกว่า -22.2% ในเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป และสินค้าทุนขยายตัวสูง ส่งผลให้ในเดือนก.ค.นี้ กลับมาขาดดุลการค้า 1,373.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเกินดุลติดต่อกัน 2 เดือน สำหรับภาพรวม 7 เดือนแรกของปี 67 ไทยยังคงขาดดุลการค้า 6,615.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
SCB EIC มองว่าส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และปี 68 จะต้องเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง ได้แก่
1. การส่งออกไทยอาจได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการค้าโลกน้อยลง โดยในช่วงที่ผ่านมา การส่งออกไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวสอดคล้องกับปริมาณโลกน้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และความต้องการสินค้าไทยน้อยลงในตลาดโลก
2. ประเทศไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะลานีญา ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนัก/อุทกภัย ส่งผลกระทบเชิงพื้นที่ และห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร
3. ในระยะข้างหน้า จะมีปัจจัยลบกดดันเศรษฐกิจและการค้าโลกมากขึ้น อาทิ (1) ความไม่แน่นอนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการแบ่งขั้วเศรษฐกิจ (2) สงครามในหลายพื้นที่ มีความยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหลังยูเครนบุกดินแดนรัสเซียเป็นครั้งแรก สงครามอิสราเอลและฮามาสอาจรุนแรงขึ้น กลายเป็นสงครามภูมิภาค หากอิหร่านเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากบทบาทเดิมที่เป็นสงครามตัวแทน
4. ค่าระวางเรือ (ค่าขนส่ง) ที่อาจจะกลับมาสูงขึ้นได้อีก จากสงครามที่เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่ง และตู้คอนเทนเนอร์
5. ปัญหา China overcapacity ที่ทำให้จีนส่งออกตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่อุปสงค์ในจีนยังซบเซา จีนจะยังนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ได้ไม่มาก ส่งผลให้ดุลการค้าของจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจทำให้หลายชาติ หันมาใช้มาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากจีนมากขึ้น
5. ผลเลือกตั้งสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มจะเป็น Protectionism ใช้เครื่องมือกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะหาก Trump ชนะเลือกตั้ง สหรัฐฯ อาจประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศเพิ่มเติมตามที่ได้หาเสียงไว้