นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุประเทศไทยจำเป็นต้องถอดบทเรียนรับมือเศรษฐกิจยุคสงคราม เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่สงครามในยุโรปและตะวันออกกลางจะขยายวง รวมทั้ง สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ การทุ่มตลาดของจีนอาจเข้มข้นระหว่างและหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สังคมไทยและรัฐบาลควรเตรียมการเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงานไว้โดยไม่ประมาท การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต้องเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพและการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและรายได้ให้เป็นธรรม
ส่วนในประเทศ เราอาจเผชิญกับสงครามการเมืองที่รุนแรงขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทบทวนบทบาทขององค์กรอิสระเพื่อให้เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตยเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพ นิติสงครามจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและภาคการลงทุนของไทย รวมทั้งสร้างความไม่แน่นอนทางด้านนโยบาย การชะลอตัวของการลงทุนโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐและเอกชนจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนดังกล่าว นิติสงครามจะทำให้ระบบสถาบันยุติธรรมไทยอ่อนแอลงอีก และอาจสร้างความสั่นคลอนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ ระบบนิติรัฐนิติธรรมอันอ่อนแอ ความไม่ชัดเจนของระบอบการปกครองโดยกฎหมายและไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลทำให้โอกาสความรุ่งเรืองรอบใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ อัตราการใช้กำลังการผลิตขณะนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ ไตรมาสสองอยู่ที่ 57.7% เท่านั้น หากกำลังซื้อภายในฟื้นตัวและส่งออกดีขึ้น จะไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อแต่อย่างใด และภาคลงทุนก็จะไม่เติบโตมากนักเพราะมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ การเร่งกระตุ้นอุปสงค์ภายในและการฟื้นฟูผลกระทบจากอุทกภัยเป็นปัจจัยสำคัญต่อการประคับประคองการเติบโตของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน
เศรษฐกิจภาคส่งออกและท่องเที่ยวอาศัยตลาดภายนอก ไม่ผูกกับความผันผวนทางการเมืองและเสถียรภาพการเมืองมากนัก สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง การทยอยแข็งค่าของเงินบาทยังไม่ส่งผลระยะสั้นต่อภาคท่องเที่ยวต่างชาติและภาคส่งออกในระยะสั้น การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์จากการคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกันยายน มีการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นในตลาดการเงินเอเชียและไทย นอกจากนี้ยังเป็นผลจากดุลบัญชีเงินสะพัดเกินดุลและดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉพาะไตรมาสสอง ไทยเกินดุลการค้า 5,539 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขส่งออกเดือนกรกฎาคมฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการปรับค่าจ้างและการจ้างงานที่ดีขึ้นของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวมากกว่า 26% เมื่อหักสินค้าเกี่ยวกับทองคำ น้ำมัน และยุทธปัจจัยแล้ว อัตราการขยายตัวของการส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 9.3% ทำให้ 7 เดือนแรกของปีนี้มูลค่าส่งออกแตะระดับ 171,010 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าส่งออกเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 25,720 ล้านดอลลาร์ หากช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีสามารถทำมูลค่าส่งออกได้เฉลี่ยมากกว่าเดือนละ 25,000 ล้านดอลลาร์ ย่อมทำให้ตัวเลขส่งออกทั้งปีทะลุเป้า 2% ได้
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัลฯ คาดว่า เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว เฉพาะหน้าเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไรจะไหลเข้าลงทุนตลาดการเงินต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจต่อการลงทุน เพราะอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำ ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการใช้มาตรการลดหย่อนภาษีผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) จะกระตุ้นการลงทุน พร้อมกับมีการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาทจะช่วยฟื้นฟูและเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน
ถึงแม้รัฐบาลใหม่จะสามารถเข้าทำหน้าที่ได้ภายในปลายเดือนกันยายนก็ตาม คาดว่างบปี 2568 การลงทุนภาครัฐจะมีความล่าช้าอยู่ดี สัมปทานโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนจะชะลอตัวเพื่อรอความชัดเจนทางนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาลไทยนั้นต้องการปฏิรูปใหญ่ทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในหลายภาคส่วน เราควรรักษาสมดุลระหว่างแนวทางนโยบาย Industrial Champion กับนโยบายทุนนิยมที่เน้นความเสมอภาค (Equality State) พร้อมเสริมสร้างความเสมอภาคทางโอกาส (Equal Opportunity) เพื่อลดปัญหาอำนาจผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ก็ต้องเดินหน้าปฏิรูปทางการเมืองเพื่อให้สถาบันในระบอบประชาธิปไตยมีความเข้มแข็ง จำเป็นต้องปฏิรูปลงไปถึงระดับโครงสร้างส่วนลึก (Deep Structure) ซึ่งกำหนด ความคิด ค่านิยม วัฒนธรรม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจและเศรษฐกิจอีกด้วย