กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประเมินแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์นี้จะอยู่ในกรอบ 33.80-34.50 บาท/ดอลลาร์ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.93 ต่อดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.88-34.12 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนครั้งใหม่
เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในช่วงแรก ดัชนีดอลลาร์ดิ่งลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี หลังตลาดรับข่าวประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณใกล้ลดดอกเบี้ยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นหลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีเกินคาด โดยจีดีพีในไตรมาส 2 เติบโต 3.0% ซึ่งเป็นการปรับทบทวนจาก 2.8% ที่เคยรายงานในครั้งแรก และเร่งตัวจาก 1.4% ในไตรมาสแรก
ทางด้านเงินยูโรอ่อนค่าลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี และสเปนที่ชะลอลง สนับสนุนการคาดการณ์เรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 1,179 ล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 1,937 ล้านบาท ส่วนในเดือนส.ค.เงินบาทแข็งค่ามากถึง 4.9%
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ฯ กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามตัวเลขดัชนีภาคบริการและการจ้างงาน เดือนส.ค.ของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการคาดการณ์ขนาดการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังเงินเฟ้อ PCE ออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด ขณะที่สัญญาดอกเบี้ยล่วงหน้า บ่งชี้ว่าในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. มีโอกาสราว 69% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bp และคาดว่ามีโอกาส 31% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 50bp จากระดับ 5.25-5.50%
อนึ่ง เรามองว่าในระยะสั้น เงินบาทเข้าสู่ช่วงพักฐานชั่วคราว หลังจากแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ตลาดสะท้อนความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟดไปมากแล้ว ส่วนราคาทองคำในตลาดโลก มีแนวโน้มเพิ่มความผันผวนให้กับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยในประเทศ นักลงทุนจะติดตามข้อมูลเงินเฟ้อเดือนส.ค. รวมถึงโผ ครม.เศรษฐกิจ ทางด้านผู้ว่าการ ธปท. ระบุว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และราคาทองที่สูงขึ้น ขณะที่ ธปท. ติดตามความเคลื่อนไหวของเงินบาทอยู่ตลอด นอกจากนี้ ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่เท่าเทียม ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทย อยู่ในระดับต่ำที่สุดในโลก โดยการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวม ขณะที่ในเดือนก.ค. ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 0.3 พันล้านดอลลาร์