ธนาคารยูโอบี คาดแนวโน้มราคาทองอาจปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2568 และเป็นไปได้ว่าอาจปรับตัวต่อเนื่องแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในระยะยาว เนื่องจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ความต้องการทองของบรรดาธนาคารกลาง และการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นายกิดอนเจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย คาดว่า ราคาทองอาจปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ภายในกลางปี 2568 และเป็นไปได้ว่าอาจปรับตัวต่อเนื่องแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ในระยะยาว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปลายปี 2566 ราคาทองคำปรับตัวขึ้นยืนเหนือระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และไม่เคยปรับตัวลดลงเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยปัจจัยสำคัญ 2 ประการที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ได้แก่ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางหลายประเทศ ส่วนปัจจัยที่ 3 คือการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทางภูมิรัฐศาสตร์โลกถือเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำประการแรก จากความขัดแย้งในทวีปยุโรปและภูมิภาคตะวันออกกลางที่ยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ภาคอุตสาหกรรมรายงานว่านักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อทองคำแท่งจำนวนมากเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่สองคือการที่ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่และเอเชียหันมาถือครองทองคำเป็นทุนสำรองเงินตรามากขึ้น ธนาคารกลางจีนถือครองทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากสภาทองคำโลก ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ระบุว่าจีนถือครองทองคำเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 2,300 ตัน หรือร้อยละ 5 ของทุนสำรองทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นการถือครองที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 จากปริมาณ 1,900 ตันในปี 2565
รายงานข่าวล่าสุดบางแห่งระบุว่าธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้"หยุด"ซื้อทองคำในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าธนาคารกลางจีนได้รายงานการซื้อทองคำเป็นตัวเลขสะสมหลังผ่านไปหลายเดือน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสนใจว่าธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่และเอเชียถือครองทองคำในสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 5 ของงบดุล
ขณะที่ธนาคารกลางในตลาดพัฒนาแล้วและยุโรปถือครองทองคำโดยเฉลี่ยร้อยละ 10 หรือสูงกว่าของงบดุล ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ถือครองทองคำสำรองประมาณ 8,100 เมตริกตันหรือประมาณ 6.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อคำนวณจากราคาตลาดปัจจุบันที่ประมาณ 2,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 9 ของงบดุลทั้งหมดมูลค่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งทางการค้าและการคว่ำบาตรทั่วโลกอาจส่งผลให้ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่และเอเชียมีแรงจูงใจในการเพิ่มการถือครองทองคำให้เทียบเท่ากับธนาคารกลางในตลาดพัฒนาแล้วและหันมาจัดสรรทุนสำรองไปยังทองคำมากขึ้น
นอกจากนี้ ผลสำรวจธนาคารกลางทั่วโลกโดยสภาทองคำโลกเมื่อไม่นานมานี้ระบุว่าหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่หันมาถือครองทองคำเป็นทุนสำรองมากขึ้นก็คือการที่ทองคำสามารถช่วยป้องกันความเสี่ยงในการชำระเงินด้วยดอลลาร์สหรัฐฯและความเสี่ยงจากการคว่ำบาตร
นอกเหนือจากปัจจัยบวก 2 ประการจากการซื้อทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และการจัดสรรเงินสำรองโดยธนาคารกลางแล้ว ยังมีปัจจัยที่สามที่คาดว่าจะเพิ่มความต้องการทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จากสถานการณ์ที่เงินเฟ้อและตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลง หลายฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่าเฟดน่าจะเริ่มต้นวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้
ในปี 2567 เราคาดว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้งหมดสองครั้ง ครั้งละ 25 bps ในการประชุมเดือนกันยายนและธันวาคมและคาดว่าจะตามด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวม 100 bps ในปี 2568 โดยลดลงไตรมาสละ 25 bps จากสถานการณ์ความผันผวนของตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา ตลาดคาดหวังว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปีลดลงจาก 4.5% ในไตรมาสที่สอง ลงสู่ระดับต่ำกว่า 4% ในเดือนสิงหาคม
ความคาดหวังถึงการลดดอกเบี้ยของเฟด การลดลงของอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวที่ลดลง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
ก่อนหน้านี้ การเข้าซื้อทองคำและผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เกี่ยวข้องจากนักลงทุนสถาบันค่อนข้างซบเซาเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทองคำนั้นต่างจากตราสารหนี้หรือการลงทุนในหุ้นอื่นๆ ตรงที่ทองคำไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผลสม่ำเสมอ ดังนั้นการที่ดอกเบี้ยเคยสูงถึง 5% ทำให้การลงทุนในทองคำมีต้นทุนค่าเสียโอกาสอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามต้นทุนค่าเสียโอกาสนี้เริ่มปรับลดลงจากการเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด เราจึงคาดว่านักลงทุนสถาบันจะหันกลับมาลงทุนในทองคำอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
เครื่องมือหลักที่นักลงทุนสถาบันใช้ในการซื้อทองคำ คือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ETF ทองคำ คาดว่าปริมาณการถือครองกองทุนรวมประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเมื่อนักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อทองคำอีกครั้ง
ด้วยปัจจัยหลายประการที่สนับสนุนความต้องการทองคำ เราจึงคาดว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวขึ้นแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ภายในกลางปี 2568 แม้ว่าอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะมองไปไกลขนาดนั้น แต่การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำไปแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้