รายงานฉบับล่าสุดของดีลอยท์ พบประเด็นสำคัญว่า
- องค์กรร้อยละ 85 มีการลงทุนด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 ในปี 2566
- ผู้บริหารร้อยละ 70 คาดว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบสูงหรือสูงมากต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานของบริษัทในอีกสามปีข้างหน้า
- เกือบครึ่งหนึ่งของ CxO (ร้อยละ 45) กล่าวว่าได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อตอบสนองความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืน โดยกำหนดเป็นกลยุทธ์หลักขององค์กร
- CxO ร้อยละ 50 ได้เริ่มใช้โซลูชันเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศหรือสิ่งแวดล้อมแล้ว โดยอีกร้อยละ 42 คาดว่าจะดำเนินการในด้านนี้ในอีกสองปีข้างหน้า
รายงาน Deloitte?s 2024 CxO Sustainability Report: Signs of a shift in business climate action ประจำปี 2567 ของดีลอยท์ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นหนึ่งในสามอันดับแรกที่ผู้นำธุรกิจระดับ C-suite level (CxO) ทั่วโลกให้ความสำคัญ แซงหน้าความไม่แน่นอนทางการเมือง การแข่งขันเพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ และสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวบ่งชี้สำคัญที่แสดงว่าสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นวาระสำคัญของผู้นำธุรกิจ เห็นได้จาก ร้อยละ 85 ของ CxO กล่าวว่าพวกเขาได้เพิ่มการลงทุนด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 ในปี 2566 และ CxO ครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50) ได้เริ่มใช้โซลูชันเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
รายงานความยั่งยืนของ CxO ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่สาม ได้สำรวจ CxO กว่า 2,100 ราย จาก 27 ประเทศ เผยให้เห็นว่าผู้นำธุรกิจมีทัศนคติเชิงบวกแต่ในเวลาเดียวกันก็มีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าการลงทุน การดำเนินการ และนวัตกรรมจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม
"เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นว่าในปีนี้ มีการลงทุนที่ในด้านความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการเน้นการใช้เทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาโซลูชันด้านสภาพอากาศ" โจ อุคูโซกลู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ โกลบอล กล่าว
"เราเห็นองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจหลักเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มมากขึ้น ใช้ประโยชน์จากการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของธุรกิจ สร้างมูลค่าทางธุรกิจใหม่ๆให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง"
การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขันเพื่อลดคาร์บอน และแต่ละอุตสาหกรรม ภูมิภาค และองค์กร ต้องการเส้นทางเฉพาะตนที่ไม่เหมือนใคร เมื่อพิจารณาว่า CxO จัดอันดับให้การก้าวให้ทันกับนวัตกรรมใหม่ๆ (รวมถึง Generative artificial intelligence หรือ GenAI) เป็นความท้าทายเร่งด่วนที่สุดในปีหน้า จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้นำจะได้จัดลำดับความสำคัญในการลงทุนในโซลูชันที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการเติบโตทางธุรกิจ
ในความเป็นจริง ครึ่งหนึ่งของ CxO ได้เริ่มใช้โซลูชันทางเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศแล้ว โดยอีกร้อยละ 42 คาดว่าจะดำเนินการในอีกสองปีข้างหน้า ในบรรดาผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านความยั่งยืน มากกว่าครึ่งกล่าวว่านำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ CxO ร้อยละ 38 กล่าวว่า คาดหวังประโยชน์จากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในอีกห้าปีข้างหน้า ในเรื่องนวัตกรรมที่เกี่ยวกับบริการและ/หรือการดำเนินงานของพวกเขา
ผู้นำมองว่าความยั่งยืนขับเคลื่อนคุณค่าทางธุรกิจ โดยผู้บริหารตระหนักถึงศักยภาพทางธุรกิจในการเปลี่ยนไปใช้เศรษฐกิจที่ปล่อยมลพิษต่ำ โดยร้อยละ 92 เชื่อว่าบริษัทของตนสามารถเติบโตได้ในขณะที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำยังระบุถึงการเปลี่ยนแปลงในปีนี้ว่าเห็นผลกระทบโดยตรงด้านสิ่งแวดล้อมและธุรกิจมากขึ้นจากความพยายามด้านความยั่งยืน โดยประโยชน์ห้าอันดับแรกจากการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศในปีนี้ คือ ประสิทธิภาพและ/หรือความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน ร้อยละ 37 อัตรากำไรจากการดำเนินงาน ที่ 37 เท่ากัน ซึ่งเข้ามาติดลิสต์ในปีนี้เป็นปีแรก ตามหลังผลประโยชน์อันดับต้น ๆ (การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) เพียงสองเปอร์เซ็นต์ แทนที่ประโยชน์ที่จับต้องได้น้อยกว่า เช่น การจดจำแบรนด์และชื่อเสียงขององค์กร
CxOs จัดอันดับความสามารถในการสรรหาและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถเป็นผลประโยชน์สามอันดับแรกที่จะพัฒนาด้านความยั่งยืนในอีกห้าปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกของบุคลากรที่มีความสามารถรุ่นใหม่ ตามการสำรวจDeloitte?s 2024 Gen Z and Millennial Survey ที่ระบุว่ากว่า 4 ใน 10 ของ เจนซี และมิลเลนเนียลได้เปลี่ยนงานหรือวางแผนที่จะเปลี่ยนงานหรืออุตสาหกรรม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ปล่อยมลพิษต่ำ ทำให้มีแรงงานต้องมีการปรับเปลี่ยนตาม งาน 800 ล้านตำแหน่งงานทั่วโลกมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศสุดขั้วและการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจไปสู่การปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ ผู้บริหารร้อยละ 49 กล่าวว่าพวกเขากำลังเตรียมแรงงานให้พร้อมสำหรับงานสีเขียว (green jobs) นอกจากนั้น ผู้นำในระดับโลกยังรายงานว่าให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมเพิ่มมากขึ้น โดยมุ่งมั่นที่จะให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์และช่วยเหลือกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเท่าเทียม ผู้บริหารมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 55) ระบุว่าหัวข้อนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 46 ในปีที่แล้ว
ความกังวลเพิ่มขึ้น แต่การดำเนินการกลับไม่สอดคล้อง มากกว่าครึ่งหนึ่งขององค์กรมุ่งเน้นการดำเนินการขนาดใหญ่ 2-3 อย่างที่มีความยากในการดำเนินการ แต่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนผลกระทบทั้งภายในและภายนอกองค์กร เช่น ผูกค่าตอบแทนของผู้บริหารกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าโดยรวมกลับไม่สม่ำเสมอ โดยองค์กรร้อยละ 17 มีดำเนินการขนาดใหญ่ดังกล่าว 4-5 อย่าง ในขณะที่องค์กรมากกว่าหนึ่งในสี่มีการดำเนินการขนาดใหญ่ เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย องค์กรมากกว่าครึ่ง จัดอยู่ในหมวดหมู่ปานกลาง โดยมีการดำเนินการขนาดใหญ่ 2-3 อย่าง แต่ไม่มากไปกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลหลายประการสำหรับการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสถานะของการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กรกลุ่มปานกลาง องค์กรกลุ่มนี้คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบสูงต่อกลยุทธ์และการดำเนินงานของพวกเขาในอีกสามปีข้างหน้า โดยหนึ่งในห้าคาดว่าจะมีผลกระทบสูงมาก ความมุ่งมั่นในปัจจุบันของกลุ่มนี้ ควบคู่ไปกับความคาดหวังต่ออนาคตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ชี้ให้เห็นว่าพวกเขากำลังเตรียมการเพื่อดำเนินการเพิ่มขึ้นสำหรับผลกระทบที่มากขึ้นในอนาคต
"ผู้บริหารเริ่มเห็นประโยชน์ที่จับต้องได้มากขึ้นจากการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศสำหรับองค์กรของตน โดยชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โมเดลธุรกิจ และการสร้างมูลค่าโดยรวม" เจนนิเฟอร์ สไตน์แมน ลีดเดอร์ด้านความยั่งยืน ดีลอยท์ โกลบอล กล่าว
"จากการวิเคราะห์ บริษัทในกลุ่มปานกลาง พร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมของตลาดในวงกว้าง โดยต่อยอดจากประสบการณ์ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่จริงจังยิ่งขึ้น เช่น การกำหนดค่าการดำเนินงานและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศมากขึ้น หรือกำหนดให้ซัพพลายเออร์มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ความยั่งยืนที่ ท้ายที่สุดแล้ว การดำเนินการที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยเร่งความคืบหน้าในการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลกร่วมกัน"
ดีลอยท์ ยังให้คำแนะนำในการเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจเพื่อประโยชน์สูงสุดว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นตัวผลักดันให้ผู้นำธุรกิจหันมาลงทุนพัฒนากลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมากขึ้น เพราะตระหนักถึงผลประโยชน์ทางสังคมและธุรกิจที่สามารถจับต้องได้ รายงานของดีลอยท์เสนอข้อควรพิจารณาสำหรับผู้นำองค์กรที่ต้องการแสวงหาช่องทางใหม่ๆ โดยการพัฒนาจุดแข็ง มองหาช่องทางและพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนผลกระทบ และมองหาโอกาสสร้างมูลค่าทางธุรกิจจากความยั่งยืน องค์จะสามารถก้าวหน้าในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและวางตำแหน่งตัวเองให้เติบโตในเศรษฐกิจสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคตได้