นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์กล่าวว่า เงินหยวนของจีนในปีนี้แข็งค่าขึ้นจากปีที่แล้วมาก เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินของประเทศคู่ค้าของจีน และอาจทำให้ธนาคารกลางจีนต้องหันมาปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งใหญ่
ดัชนี Westpac Nominal Effective Exchange Rate ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินสำคัญๆ รวมถึงสกุลเงินหยวน ยูโรและเงินเยน บ่งชี้ว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 3.5% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่ระดับ 3.4% และแข็งแกร่งขึ้น 2% ในไตรมาสนี้
"ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นที่ถูกจับตามอง แต่รวมถึงสกุลเงินหยวนของจีนด้วย การที่เงินหยวนเคลื่อนไหวร้อนแรงเกินไปเช่นนี้ ทำให้ธนาคารกลางจีนต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน" นายติง ลู่ นักวิเคราะห์ของเมอร์ริล ลินช์ ในฮ่องกงกล่าว
คัลลัม เฮนเดอร์สัน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านปริวรรตเงินตราของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด คาดว่า เงินหยวนอาจอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่จะแข็งค่าขึ้นอีกเมื่อเทียบกับยูโร เนื่องจากธนาคารกลางยุโรปให้ความสำคัญกับการสกัดกั้นเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 ปีและเพื่อสยบคำวิพากษ์วิจารณ์ของเจ้าหน้าที่ยุโรป โดยเงินหยวนพุ่งขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับยูโร และพุ่งขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเงินเยนนับตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่จีนประกาศยุติการใช้นโยบายผูกติดค่าเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐในปีพ.ศ.2548 ธนาคารกลางจีนได้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนให้เคลื่อนไหวตามตระกร้าสกุลเงิน ซึ่งรวมถึงสกุลเงินยูโร เยน และปอนด์ ทำให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 18.2% เมื่อเทียบกับดอลลาร์นับตั้งแต่นั้น
ในที่ประชุม G7 ที่กรุงวอชิงตันเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา นายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวชมเชยจีนที่ผลักดันสกุลเงินหยวนให้แข็งค่าเร็วขึ้น พร้อมกับเรียกร้องรัฐบาลจีนให้หนุนค่าเงินให้แข็งค่าขึ้นอีก เนื่องจากยอดเกินดุลการค้ามูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2550 ของจีนได้สร้างความกังวลให้กับรัฐบาลสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--