นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกน่าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งใหญ่ในรอบกว่า 4 ปี ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น มองว่า จำเป็นต้องดำเนินการให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจโลก ตลอดจนทิศทางนโยบายการเงินของโลกด้วย
อย่างไรก็ดี การพิจารณานโยบายอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีอิสระในเรื่องการกำหนดทิศทางดอกเบี้ย ส่วนจะต้องมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือข้อคิดเห็น ระหว่างกระทรวงการคลัง กับ ธปท.หรือไม่นั้น โดยส่วนตัวมองว่า มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมที่สุด
"แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะภาคการผลิต ที่เริ่มเห็นสัญญาณบวกหลังจากติดลบหนักหลายเดือน และภาคการบริโภคที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ แต่สิ่งที่คลังอยากเห็น คือ โมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่จะเป็นแรงส่ง เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว ดังนั้นนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง จำเป็นจะต้องทำงานสอดคล้องกันด้วย" รมช.คลัง ระบุ
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมานั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า มีผลกระทบโดยตรงกับภาคส่งออก ดังนั้นการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้อ่อนค่าเกินไป หรือแข็งค่าเกินไป รวมถึงต้องไม่ผันผวนขึ้นลงเร็วเกินไป จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะค่าเงินที่ผันผวนมาก ทำให้ผู้ส่งออกวางแผนธุรกิจได้ยาก
"ที่ผ่านมา เราจะเห็นเงินบาทอ่อนค่าไปถึง 36-37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และก็กลับมาแข็งค่าไปจนถึงระดับ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ช่องว่างตรงนี้กว้างเกินไป ดังนั้นการดูแลเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะค่าเงินที่ผันผวนจนเกินไป จะส่งผลให้ผู้ส่งออกวางแผนธุรกิจได้ยาก" รมช.คลัง ระบุ