นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึงกรณีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาททั่วประเทศว่า จากข้อมูลที่ได้สอบถามผู้ประกอบการในแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงในอัตราดังกล่าว โดยเห็นว่าควรเริ่มปรับขึ้นในปี 68 เนื่องจากปกติแล้วการปรับขึ้นค่าแรงจะทำกันปีละครั้ง ในขณะที่ปีนี้ปรับไปแล้ว 2 ครั้ง
ทั้งนี้ หอการค้าไทย สนับสนุนการปรับขึ้นค่าแรงที่เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคี แต่อย่างไรก็ดี ขอให้รัฐบาลพิจารณานโยบายการปรับขึ้นค่าแรงอย่างรอบคอบ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจในประเทศขณะนี้ ผู้ประกอบการยังเผชิญกับปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันและปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาที่หนักพออยู่แล้ว
"อยากฝากถึงรัฐบาล นโยบายค่าแรงขอให้ดูให้ดี เพราะสถานการณ์ตอนนี้ทั้งเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยเอง กำลังเจอปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน เรื่องค่าเงิน หากจะปรับขึ้นค่าแรงอีก เราจะประสบปัญหามาก" นายพจน์ ระบุ
*นัดถกสมาคมการค้าจีน แก้ปัญหาสินค้าราคาต่ำ-ไม่ได้มาตรฐาน
นายพจน์ ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาสินค้านำเข้าราคาถูกแต่คุณภาพต่ำจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในประเทศว่า ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจากจีน การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ต้องมีมาตรการดูแลและจัดระเบียบที่ดี เนื่องจากไทยมีการทำข้อตกลงทางการค้าไว้ การดำเนินการใด ๆ จึงต้องทำให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ และเพื่อสร้างความเป็นธรรม เช่น การเก็บภาษี และการดูแลมาตรฐานของสินค้านำเข้า เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือน ต.ค.67 จะมีการนัดหารือกันระหว่างหอการค้าไทย, หอการค้าไทย-จีน, สมาคมการค้าวิสาหกิจจีน รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันวางแนวทางในการดูแล และจัดระเบียบการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
"หลังจากที่เราได้หารือกันแล้ว ก็จะเริ่มขับเคลื่อนทันที เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาจากการนำเข้าสินค้าเถื่อน สินค้าไม่ได้มาตรฐาน หรือสินค้าที่เข้ามาดัมพ์ราคา" นายพจน์ ระบุ
ปัจจุบัน มูลค่าการค้าไทย-จีน ในแต่ละปีถือว่าอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเกษตรจากไทยไปจีน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 80-90% ในขณะที่สินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีน ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุน ซึ่งเป็นการนำมาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกต่อยังประเทศอื่น