ภาพรวมการจ่ายเงิน 10,000 บาท ตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ในวันที่ 2 เป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยรัฐบาลได้ดำเนินการโอนเงินสำเร็จให้กับกลุ่มเป้าหมาย 4.5 ล้านราย ครบ 100% เสร็จสิ้นตั้งแต่เวลา 04.00 น. เนื่องจากการเป็นการโอนเงินให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีเลขบัตรประจำตัวประชาชนชัดเจน และมีการผูกพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนเรียบร้อย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ส่วนใหญ่พบว่าประชาชนที่ได้รับเงิน นำไปซื้อสิ่งของ อุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร บางส่วนก็นำเงินที่ได้ไปซ่อมแซม หรือใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตรหลาน ขณะที่ผู้สูงอายุบางคนจะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือเพื่อใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการใช้เหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง
"การเพิ่มเม็ดเงินในระบบครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายรัฐบาลในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะมีผู้รายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระดับพื้นที่และฐานราก ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้และสอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการฯ" นายจิรายุ กล่าว
สำหรับวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) จะมีการโอนเงินให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4-7 ประมาณ 4.51 ล้านคน และเลขประจำตัวประชาชนลงท้าย 8-9 ในวันที่ 30 ก.ย.
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่า การแจกเป็นเงินสดจะทำให้เม็ดเงินไหลไปสู่เศรษฐกิจนอกระบบ เช่น หนี้นอกระบบ และการพนัน ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาลนั้นว่า เป็นอีกปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ ในส่วนของเรื่องหนี้นอกระบบ กระทรวงการคลังได้ทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งอยู่ในกระบวนการที่มีการดูแลอย่างเข้มงวด
"อยากชี้แจงให้เห็นอีกมิติว่าประชาชนกลุ่มที่ได้รับเงินนี้เป็นกลุ่มเปราะบางจริง ๆ เป็นกลุ่มที่แทบจะไม่มีรายได้เพียงพอดำรงชีวิต ซึ่งรัฐบาลเห็นว่าต้องเร่งให้ความช่วยเหลือกลุ่มนี้อย่างเร่งด่วนจริง ๆ เมื่อโอนเงินไปแล้ว เห็นประชาชนดีใจที่ได้เงิน รัฐบาลก็มีความยินดีที่ได้เห็นประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากการจุนเจือจากภาครัฐ ที่ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น" นายเผ่าภูมิ กล่าว