พล.ท.หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รมว.พลังงาน กล่าวว่า หลังจากได้มีการหารือกับหน่วยงานด้านไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) แล้ว สามารถสรุปได้ว่าค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) รอบใหม่(มิ.ย.-ก.ย.51) มีโอกาสที่จะปรับลดลงได้ เนื่องจากงบลงทุนของหน่วยงานด้านไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งต่ำกว่าแผนงาน ซึ่งกำหนดไว้ในปี 49-50 ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง 10.7 สตางค์ต่อหน่วย
วงเงินลงทุนเหลือทั้งหมด 36,398 ล้านบาท แบ่งเป็นของ กฟผ. 19,586 ล้านบาท, กฟภ. 9,898 ล้านบาท และ กฟน.อีก 6,814 ล้านบาท ซึ่งต้องนำมาคำนวณเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้า ซึ่งเมื่อคำนวณส่วนลดจากเงินจำนวนดังกล่าวแล้วทำให้มีเงินคืนกลับมาในระบบเพื่อลดค่าไฟฟ้าจำนวน 3,620 ล้านบาท รวมกับค่าปรับจากการลงทุนไม่ได้ตามแผนอีก 7.25% คิดเป็น 262 ล้านบาท และเงินสะสมจากการดำเนินงานของ กฟผ.ที่มีประสิทธิภาพอีก 1,200 ล้านบาท ทำให้มีเงินเข้ามาลดค่าไฟฟ้าได้รวมทั้งสิ้น 5,082 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ค่าเอฟทีในงวดนี้จะลดลงได้ทั้งหมดเท่าไรต้องคำนวณค่าเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐก่อน โดยคาดว่าค่าเชื้อเพลิงในงวดเดือน มิ.ย.-ก.ย.51 จะสูงกว่าในงวดเดือน ก.พ.-พ.ค.51 เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติอิงกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของเดิมกำหนดไว้ที่ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไป 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มีผลต่อค่าเอฟที 3 สตางค์ต่อหน่วย
ด้าน นายณอคุณ สิทธิพงษ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จะต้องมีการคำนวณผลตอบแทนการลงทุน(ROIC) ใหม่ เนื่องจากหน่วยงานด้านไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งยังไม่ได้แปรรูปจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้ต้องมีการปรับลด ROIC ลง จากปัจจุบัน ROIC ของ กฟผ.อยู่ที่ 8.39% ส่วน กฟภ.และ กฟน.อยู่ที่ 4.8% ซึ่งอยู่ในระดับสูง เพื่อไม่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงเกินความจำเป็นก็จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงตามไปด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ธนวัฏ/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--