นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนสิงหาคม 2567 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2567 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การบริโภคสินค้าคงทน และการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ทั้งนี้ จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ รวมถึงค่าเงินบาท ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
- เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า: โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนสิงหาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.6% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.5% ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ และปริมาณจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -25.5% และ -15.9% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -12.1% และ -3.8%
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนกรกฎาคม 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.5 จากระดับ 57.7 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนสิงหาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 7.2
- เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า: โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนสิงหาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 5.5% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -8.9% ปริมาณรถยนต์เชิงพาณิชย์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -22.5% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -11.3%
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนสิงหาคม 2567 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 5.7% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -3.1% ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนสิงหาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน -5.2% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -11.3%
- มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ 26,182.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.0% และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ 6.6% เนื่องจากการขยายตัวของสินค้าในหมวดเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โดยขยายตัวร้อยละ 74.7% 23.1% และ 19.8 ตามลำดับ นอกจากนี้ สินค้ายางพารา ข้าว อาหารสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทราย และแผงวงจรไฟฟ้า ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดตะวันออกกลาง อินเดีย อาเซียน (9) และจีน ส่วนตลาดญี่ปุ่น และทวีปออสเตรเลีย หดตัว
- เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการด้านการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน: โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนสิงหาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.96 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 20.1% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -2.8% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ตามลำดับ
เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนสิงหาคม 2567 จำนวน 21.0 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -6.6% ขณะที่ภาคการเกษตรสะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนสิงหาคม 2567 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.3% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 1.4% ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตในหมวดไม้ผลและหมวดประมง สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม 2567 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -1.9% และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า -2.9%
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2567 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 87.7 จากระดับ 89.3 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ กำลังซื้อผู้บริโภคยังอ่อนแอจากปัญหาหนี้สินที่เร่งตัวขึ้น และปัญหาสินค้าต่างประเทศเข้ามาตีตลาด อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
- เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี: สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนสิงหาคม 2567 อยู่ที่ 0.35% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.62% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 63.7% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 235.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ