นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารมีแนวโน้มการเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังผ่านช่วงการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 มีการจัดตั้งธุรกิจและทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 มีการจัดตั้งธุรกิจ 4,017 ราย เพิ่มขึ้น 996 ราย จากปี 2565 คิดเป็น 32.97% ทุนจดทะเบียน 8,078.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,490.29 ล้านบาท จากปี 2565 คิดเป็น 22.62%
ขณะที่ช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ส.ค.) มีธุรกิจร้านอาหารที่จัดตั้งใหม่ 2,847 ราย มูลค่าทุน 5,826.03 ล้านบาท นิติบุคคลที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย มีจำนวนทั้งสิ้น 44,508 ราย มูลค่าทุน 220,916.70 ล้านบาท เป็นธุรกิจขนาดเล็ก S จำนวน 43,874 ราย คิดเป็น 98.58% ธุรกิจขนาดกลาง M จำนวน 521 ราย คิดเป็น 1.17% และธุรกิจขนาดใหญ่ L จำนวน 113 ราย คิดเป็น 0.25%
โดยส่วนใหญ่แล้วจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด รองลงมาคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด และห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล และบริษัทมหาชน จำกัด ตามลำดับ และมีที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครมากที่สุด (เขตวัฒนา บางรัก และคลองเตย) รองลงมา ตั้งอยู่ในภาคใต้ (ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และกระบี่) และภาคตะวันออก (ชลบุรี ระยอง และตราด)
นางอรมน กล่าวว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจร้านอาหารสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละ 63,000 ล้านบาท โดยในปี 2564 มีรายได้ 179,645 ล้านบาท ปี 2565 มีรายได้ 244,412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.05% และ ปี 2566 มีรายได้ 306,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.45%
ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารสามารถทำกำไรดีขึ้น (หรือขาดทุนลดลง) โดยเฉพาะในปี 2566 ร้านอาหารในพื้นที่กรุงเทพฯ มีกำไรสูงถึง 10,369.91 ล้านบาท คิดเป็น 106.90% ของกำไรปี 2566 สำหรับการลงทุนของต่างชาติในธุรกิจร้านอาหารพบว่า มูลค่าลงทุนของต่างชาติอยู่ที่ 29,071.35 ล้านบาท ประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มูลค่า 6,075.23 ล้านบาท คิดเป็น 20.90%, ญี่ปุ่น 3,162.46 ล้านบาท คิดเป็น 10.88%, จีน 2,326.24 ล้านบาท คิดเป็น 8.00%, อินเดีย 2,168.02 ล้านบาท คิดเป็น 7.46% และฝรั่งเศส 1,607.03 ล้านบาท คิดเป็น 5.53%
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารเติบโต มาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่มาช่วยบริหารจัดการร้าน การสั่งอาหารหรือการโฆษณาร้านผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร้านอาหารเป็นที่รู้จัก และเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย โดยปัจจุบันไม่จำเป็นต้องตั้งร้านในทำเลที่คนพลุกพลานซึ่งมีการลงทุนที่สูงอีกต่อไป
นอกจากนี้ การพัฒนาสินค้าให้เข้ากับความต้องการของคนยุคใหม่ การเลือกใช้วัตถุดิบในการทำอาหารที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ วัตถุดิบที่เป็นออแกนิก โปรตีนที่ทำจากพืช (Plant-based) วัตถุดิบจากต่างประเทศที่นำเข้าได้ง่ายขึ้น และการสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ ๆ หรือการให้บริการที่สร้างความประทับใจแก่ลูกค้า อาทิ การเสริฟอาหารแบบ Fine Dining และ Chef?s Table ล้วนส่งผลต่อการดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้เข้าร้านและเปิดประสบการณ์ใหม่ได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน การตกแต่งบรรยากาศหรือการให้บริการ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร้านอาหารเป็นที่นิยมและมีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำ เพราะร้านอาหารไม่เพียงแต่จะขายอาหารเท่านั้น แต่ยังต้องมีมุมสวย ๆ ให้ลูกค้าสามารถถ่ายรูปเพื่อโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีผ่านผู้ใช้บริการจริงแบบปากต่อปากได้แบบไม่รู้จบ
นางอรมน กล่าวว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ส่งเสริมธุรกิจร้านอาหารให้สามารถแข่งขันได้มาอย่างต่อเนื่อง โดยการยกระดับมาตรฐานร้านอาหารไทยผ่านตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับร้านอาหารไทย ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นควบคู่กับการเผยแพร่วัฒนธรรมผ่านอาหารไทย รวมถึงลูกค้าไทยและต่างชาติสามารถเดินเข้าร้าน Thai SELECT ได้ด้วยความมั่นใจ ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหาร Thai SELECT ทั่วประเทศ 496 ร้าน
นอกจากนี้ ยังพัฒนาให้ร้านอาหารเกิดการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจแบบก้าวกระโดด เริ่มตั้งแต่การสร้างธุรกิจให้สามารถต่อยอดเป็นแฟรนไชส์ มีมาตรฐานสากล และมีโอกาสนำเสนอธุรกิจได้ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ปัจจุบันมีแฟรนไชส์ร้านอาหารที่ผ่านการพัฒนาจากกรมฯจำนวน 248 ราย และก้าวสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว 27 ราย ใน 31 ประเทศทั่วโลก