"เผ่าภูมิ" ซัดแทรกแซงค่าเงิน แค่แก้ปัญหาปลายเหตุบาทแข็ง จี้แบงก์ชาติต้องลดดอกเบี้ย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday October 1, 2024 15:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ได้มีการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมาว่า สถานการณ์ความผันผวนของค่าเงินบาทในขณะนี้ การแก้ไขด้วยการแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะหากไปดูที่ต้นตอ จะพบว่าการแข็งค่าของเงินบาท เกิดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลเข้า จนส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า

รมช.คลัง มองว่า แนวทางการแก้ไข จำเป็นต้องดำเนินการใน 2 ส่วนสำคัญ ด้วยการแก้ไขที่แนวหลัก คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะเป็นการดูแลในระยะยาว ส่วนการดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนในระยะสั้น ต้องแก้ไขด้วยการบริหารอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การแทรกแซงค่าเงินเพียงอย่างเดียวเพื่อดูแลภาวะอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนคงไม่เพียงพอ เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องแทรกแซงต่อไปเรื่อย ๆ

"อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่แตกต่างกันเกินไป ก็จะทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง...การแก้ไขความผันผวนของค่าเงินบาทด้วยการแทรกแซงค่าเงิน เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่เพียงพอ เพราะต้นตอที่เป็นปัญหาระยะยาว คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเรา ยังมีความแตกต่างกับนโยบายทางการเงินของโลกอยู่พอสมควร" นายเผ่าภูมิ กล่าว

พร้อมเห็นว่า การดูแลค่าเงินบาท จะต้องบริหารจัดการไม่ให้ผันผวนมากเกินไป ซึ่งปัจจุบัน เงินบาทไทยแข็งค่าเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาค อยู่ในเกณฑ์แข็งค่ามากเกินไป ซึ่งค่าเงินที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันควรอยู่ที่ระดับ 34 บาทกว่า/ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ประกอบ ทั้งความเหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะค่าเงินของเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้า แต่ในภาพรวมต้องยอมรับว่า ค่าเงินบาทที่เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจและผู้ประกอบการในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน จึงต้องมาพิจารณาปัจจัยประกอบในแต่ละช่วงเวลาว่าเป็นอย่างไร

รมช.คลัง กล่าวว่า ประเทศไทยต้องพยายามบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนให้เกาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และคู่ค้าให้ได้ ซึ่งตรงนี้เป็นโจทย์สำคัญ เพราะหากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าจนเกินไป การค้าขายจะมีปัญหา ส่วนที่มีการระบุว่าภาคส่งออกบางกลุ่มยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ส่วนตัวไม่อยากให้หยิบประเด็นเล็ก ๆ มาคุยกัน แต่อยากให้มองภาพรวมว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ และการที่ค่าเงินแข็งกว่าประเทศอื่น นั่นหมายความว่าสินค้าของไทยจะมีความสามารถในการแข่งขันที่ต่ำลง ถือเป็นข้อด้อย และหน่วยงานที่รับผิดชอบควรพิจารณาเรื่องนี้

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบชั่งน้ำหนักใน 2 มิติเสมอ คือ น้ำหนักด้านศักยภาพของเศรษฐกิจ และน้ำหนักด้านเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางการเงินในระดับที่สูงมาก ขณะที่ศักยภาพทางเศรษฐกิจยังไม่ค่อยเท่าไร เพราะฉะนั้นทั้ง 2 ส่วนจะต้องทำให้เกิดความสมดุล

"การที่เศรษฐกิจจะมีศักยภาพสูง จนไม่สนใจเสถียรภาพทางการเงินเลยก็ไม่ดี ขณะเดียวกัน การที่มีเสถียรภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งจนเกินไป โดยไม่สนใจศักยภาพทางเศรษฐกิจ แบบนี้ก็จะเดินไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างสมดุล โดยหากถามว่าปัจจุบันทั้ง 2 มิติสมดุลหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่า ยังไม่สมดุล" รมช.คลัง กล่าว

สำหรับประเด็นเรื่องส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากนั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า เป็นอีกปัญหาที่มองว่าเป็นหน้าที่ของ ธปท. ที่จะต้องเร่งแก้ไข เพราะเป็นภาวะความเดือดร้อนของประชาชน และสามารถมองได้ว่าเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้สถาบันการเงินที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรจะพิจารณาในมิติของการเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการปล่อยสินเชื่อเพื่อให้สภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในอัตราที่ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจได้ ซึ่งจุดนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่า

โดยสิ่งที่กระทรวงการคลังสามารถทำได้ในส่วนนี้ คือ การหารือกับ ธปท. และธนาคารพาณิชย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนในมุมของสถาบันการเงินของรัฐนั้น กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการให้เข้าไปช่วยเหลือจุนเจือประชาชนได้ด้วย ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ก็จะเป็นจุดสปาร์คให้ตลาดมีการปรับตัวมากขึ้น แต่กระทรวงการคลังก็อาจจะทำได้ไม่เต็มที่ และคงต้องขอความร่วมมือไปยัง ธปท.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ