ธนาคารกสิกรไทย มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า (21-25 ต.ค.) ที่ระดับ 32.80-33.40 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย. ของไทย ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และสกุลเงินเอเชีย รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย. รายงาน Beige Book ของเฟด ดัชนีความเชื่อมั่น/ตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในมุมมองผู้บริโภค และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR ของธนาคารกลางจีน และดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือน ต.ค.ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษด้วยเช่นกัน
โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-18 ต.ค.) เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น โดยมีอานิสงส์จากการพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ของราคาทองคำในตลาดโลก โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกในช่วงต้นสัปดาห์ แต่การเคลื่อนไหวยังค่อนข้างจำกัด ในช่วงก่อนผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ได้รับอานิสงส์จากการคาดการณ์ว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหลาย ๆ รอบการประชุมข้างหน้า
ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่าลงช่วงสั้น ๆ ในช่วงกลางสัปดาห์ หลัง กนง. สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยมติ 5:2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ระดับ 2.25% แต่ก็สามารถล้างช่วงอ่อนค่าลงทั้งหมด และพลิกแข็งค่ากลับมา โดยมีแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยบวกจากข้อมูลยอดค้าปลีกและตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งหนุนแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด โดย ณ ขณะนี้ตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยทั้งสิ้นประมาณ 50 basis points ภายในช่วงปลายปี 2567
โดยในวันศุกร์ที่ 18 ต.ค.67 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 33.15 บาท/ดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 33.34 บาท/ดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (11 ต.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 15-18 ต.ค.67 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยที่ 977 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 5,188 ล้านบาท (แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 5,122 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 66 ล้านบาท)