ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ปี 2567 เป็นหนึ่งปีที่ยากลำบาก สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะนอกจากยอดขายรถยนต์ในประเทศจะหดตัวแรงแล้ว ยอดส่งออกรถยนต์ของไทย ก็คาดว่าอาจหดตัวเช่นกันถึง -6% (YoY) เหลือส่งออกได้เพียง 1.05 ล้านคัน จาก 1.11 ล้านคันในปี 2566 โดยหนึ่งในสาเหตุสำคัญ มาจากการส่งออกไปตลาดหลักอันดับ 2 ของไทย อย่างอาเซียนที่ลดลงมาก (ตลาดอาเซียนคิดเป็น 25% ของมูลค่าส่งออกรถยนต์ไทย) นำโดยการหดตัวสูงของการส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียน ซึ่งช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา ติดลบถึง 19% (YoY) ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์ส่งออกลดลง 3% (YoY) แปลว่ารถยนต์นั่งไทย อาจกำลังเจอความเสี่ยงในตลาดนี้
แม้ตั้งแต่ปี 2560 ไทยจะครองตำแหน่งแชมป์ส่งออกรถยนต์นั่งไปอาเซียนมาโดยตลอด แต่หลังผ่าน 7 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ก.ค.) กลับพบว่าจีน และญี่ปุ่น ขยับส่วนแบ่งขึ้นนำไทยได้เป็นครั้งแรก ขณะที่อินโดนีเซียแม้ยังมีส่วนแบ่งน้อยกว่า แต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ไทยมากขึ้น โดยจีนคาดขึ้นอันดับ 1 แทนที่ไทยในตลาดอาเซียนปีนี้ หลังสามารถส่งออกรถยนต์นั่ง BEV ได้เพิ่มขึ้นมาก
ขณะที่ญี่ปุ่นขยับขึ้นอันดับ 2 นำโดยการส่งออกรถยนต์นั่งไฮบริด (HEV) อาศัยปัจจัยหนุนสำคัญจากมาตรการส่งเสริมรถยนต์ลดมลพิษของรัฐบาลแต่ละประเทศที่ออกมาในช่วงนี้ ส่งผลกดดันให้ไทยตกลงมาอยู่อันดับ 3 เนื่องจากไทยเพิ่งเริ่มผลิต BEV และแม้จะมีการผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดแล้ว แต่ที่ผลิตได้ ก็เน้นรองรับตลาดในประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นก่อน
ขณะที่อินโดนีเซีย แม้ปัจจุบันอยู่ในอันดับ 4 แต่พบการส่งออกรถยนต์นั่งขนาดเล็กใช้น้ำมันล้วน (ICE) ที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ส่วนแบ่งขยับเข้าใกล้ไทยมากขึ้น หลังความต้องการรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หรือรถอเนกประสงค์ราคาประหยัด เพิ่มขึ้นมากในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ประชากรรายได้ยังไม่สูงนัก เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ในระยะข้างหน้า การส่งออกรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด อาจเร่งขึ้นมาช่วยชดเชยได้ หลังไทยมีแนวโน้มผลิตรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ในประเทศได้มากขึ้น จากการสนับสนุนของภาครัฐ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอีกหลายด้าน ที่การส่งออกรถยนต์นั่งไทยอาจต้องเผชิญในอนาคต ได้แก่
1. ความเสี่ยงฝั่งอุปทาน
- ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ อาจกดดันให้จีนยังคงต้องส่งออก BEV มายังตลาดเป้าหมายเดิมของไทยอย่างอาเซียนต่อ ทำให้การส่งออก BEV จากไทยในอนาคต ยังคงต้องเจอการแข่งขันต่อไปอยู่
- รถยนต์นั่งส่งออกจากญี่ปุ่น กำลังถูก BEV จีนเข้าตีตลาดในหลายประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องกระจายการส่งออกไฮบริด ซึ่งเป็นตัวหลักออกไปยังหลายตลาดมากขึ้นรวมถึงอาเซียน เพื่อรักษาปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ทำให้โอกาสการลงทุนผลิตรถยนต์นั่งไฮบริดในไทยปริมาณมาก เพื่อการส่งออกในอนาคตยังมีความไม่แน่นอน
2. ความเสี่ยงฝั่งอุปสงค์
- มาตรการส่งเสริมรถยนต์นั่ง BEV และไฮบริด ของตลาดศักยภาพ อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ อาจหมดในสิ้นปีหน้า ทำให้โอกาสนำเข้า BEV และไฮบริด ของตลาดอาเซียนอาจไม่เร่งตัวมากเหมือนช่วงที่ผ่านมา แม้จะยังมีเวียดนาม และฟิลิปปินส์ ที่คงมาตรการส่งเสริมตลาดรถยนต์นั่ง 2 กลุ่มนี้ต่อถึงปี 2570 และ 2571 ก็ตาม
- ค่ายรถ BEV ที่ลงทุนผลิตในไทย มีการลงทุนผลิตเพิ่มในอินโดนีเซียด้วย เพื่อรองรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โอกาสส่งออก BEV จากไทยไปอีกตลาดศักยภาพ อย่างอินโดนีเซียลดน้อยลง รวมถึงไทยอาจเจอการแข่งขันจาก BEV ส่งออกจากอินโดนีเซียในอนาคตด้วย