นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสัญญาก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) หรือโครงการไฮสปีดเทรนนั้น เป็นการเจรจาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับภาคเอกชน เนื่องจากภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 จึงต้องการให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ โดยยื่นข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ซึ่งคณะกรรมการกำกับดูแลสัญญา พิจารณาแล้วเห็นว่ามีข้อเสนอเพียงข้อเดียวที่รับได้ คือ เรื่องต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากผลพวงจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นที่ภาคเอกชนเสนอมานั้น ทาง รฟท.ไม่ได้พิจารณาให้
สำหรับเรื่องผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 นั้น คณะกรรมการ กพอ.พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องสุดวิสัย จึงจำเป็นต้องแก้ไขสัญญา โดยจะตรวจสอบให้เกิดความรอบคอบและครบถ้วนในทุกประเด็น ไม่ให้ภาครัฐต้องไม่เสียประโยชน์
นายสุริยะ กล่าวว่า อยากให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไป เพราะหากต่างฝ่ายต่างยกเลิกสัญญา ก็จะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ที่ผ่านมา ภาครัฐไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับภาคเอกชนได้ทันเวลา ขณะนี้ภาคเอกชนยังไม่ได้จ่ายชดเชยให้แอร์พอร์ตลิ้งค์ จึงต้องมาเจรจากันบนเงื่อนไขที่ภาครัฐต้องไม่เสียประโยชน์ 100 %
"เรื่องนี้ไม่ใช่ผมเป็นคนให้ไปเจรจา แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องมา การรถไฟฯ เจรจาเสร็จแล้วก็ส่งเรื่องมาที่กระทรวง ซึ่งมีสำนักนโยบายและแผนขนส่งจราจร (สนข.) ซึ่งจะกรองว่าเรื่องที่ส่งเข้ามาสมเหตุผลหรือไม่อย่างไร ซึ่ง สนข.เห็นว่าโครงการนี้มีประโยชน์ และการแก้ไขสัญญาไม่เสียเปรียบ ผมจึงได้เซ็นเรื่องไป" นายสุริยะ กล่าว
พร้อมระบุว่า หากไม่รีบเจรจาให้ได้ข้อสรุป จะส่งผลให้โครงการนี้เสร็จล่าช้าไปอีก 7 เดือน ซึ่งขณะนี้มีโครงการเมืองการบินที่อู่ตะเภา ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขของผู้ยื่นประมูลสร้างสนามบินอู่ตะเภา คือ ต้องสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินให้เสร็จ ถ้าหากทำไม่เสร็จ ก็จะถูกฟ้องร้องจากเอกชนได้ แต่พยายามทำให้เสร็จก่อนปี 2571
ทั้งนี้ คาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ในอีก 1-2 สัปดาห์ เพื่อขออนุมัติแก้ไขมติ ครม.เดิม หลังจากนั้นจึงนำกลับมาเจรจาบนหลักการที่ ครม.ให้ไว้ และนำกลับเข้า ครม.อีกครั้ง และคาดว่าการก่อสร้างน่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงต้นปี 68