นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยเผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ก.ย.67 อยู่ที่ระดับ 92.44 หดตัว 3.51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.67) หดตัวเฉลี่ย 1.75% โดยได้รับแรงกดดันจากยอดการผลิตยานยนต์ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14, ต้นทุนพลังงานทรงตัวอยู่ในระดับสูง และปัญหาสินค้านำเข้าราคาถูกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น
ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) เดือน ก.ย.67 อยู่ที่ 57.47% ส่วนช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 58.82% หดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
"ปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนีฯ ให้หดตัวมาจากการผลิตยานยนต์ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 ทั้งตลาดภายในประเทศและการส่งออก จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือนและสถานการณ์หนี้สงสัยจะสูญ (NPL) ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและยอดปฏิเสธสินเชื่ออยู่ในระดับสูง" นายภาสกร กล่าว
*อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีฯ ได้แก่
- ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 23.48% จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก รถยนต์ไฮบริดขนาดมากกว่า 1800 ซี.ซี.เป็นหลัก ตามการหดตัวของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือนสูง และสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ
- ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.54% จาก Integrated circuits (IC) เป็นหลัก ตามคำสั่งซื้อที่ลดลงและบริษัทแม่ในต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจ ต่างจากสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
- คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.96% จากพื้นสำเร็จรูปคอนกรีตและเสาเข็มคอนกรีต เป็นหลัก ตามการชะลอตัวของโครงการก่อสร้างของภาครัฐและอสังหาริมทรัพย์ในภาคเอกชน ตามภาวะเศรษฐกิจหนี้ครัวเรือนสูง สถาบันการเงินเข้มงวดอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยและวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น
*อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีฯ ได้แก่
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.54% จากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันเบนซิน เป็นหลัก จากการผลิตกลับมาเป็นปกติในปีนี้หลังผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในปีก่อน
- สัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 49.96% จากปลาทูน่ากระป๋อง เป็นหลัก ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากอเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย เพื่อสต็อกสินค้าไว้รองรับความต้องการในช่วงเทศกาลและวันหยุดปลายปี ส่งผลให้ตลาดส่งออกขยายตัว
- เครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.73% จากเครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก ตามสภาพอากาศทั่วโลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ลูกค้าจากสหรัฐฯ เร่งให้ส่งมอบสินค้า และผู้ผลิตพัฒนาสินค้าได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
สำหรับการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในเดือน ต.ค.67 "ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น" โดยปัจจัยภายในประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นตามการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นทางธุรกิจในภาคการผลิตที่ลดลง ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นจากภาคการผลิตของสหภาพยุโรปที่ยังคงหดตัว รวมถึงสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และความกังวลต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
*ประเมินอานิสงส์และผลกระทบจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
- กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง จะเป็นผลดีต่อการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยอาจมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทยเพิ่มขึ้นเพื่อเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้า และภาคการผลิตที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะปรับตัวดีขึ้น อาทิ ยานยนต์สันดาป ปิโตรเคมี แต่การส่งออกไปสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญภาษีนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น 10-20% บริษัทอเมริกันอาจถอนการลงทุนกลับประเทศ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้ราคาสินค้าและเงินเฟ้อของไทยสูงขึ้น และการลงทุนด้านพลังงานสะอาดอาจชะลอตัวลง
- กรณีที่นางคามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง สนับสนุนการค้าเสรีช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการค้าและการลงทุน สนับสนุนการลงทุนเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด มาตรการควบคุมราคาสินค้าจะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านราคาในตลาดโลกซึ่งเป็นผลดีต่อเงินเฟ้อของไทย แต่จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจากแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิล
สศอ.มีข้อเสนอแนะต่อผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมให้ปรับตัวและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม ได้แก่
1.ปรับตัวสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
2.พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงาน หรือการสูญเสียพลังงานในแต่ละขั้นตอนเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
3.นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
4.ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก โดยต้องมีความเข้าใจความต้องการและสามารถจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
5.พัฒนาแรงงานโดยสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร (Reskill) พัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้น (Upskill) เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ นำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน (Newskill) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะของแรงงานให้ตรงตามความต้องการของตลาดโลก