นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "Thailand 2025: Opportunities, Challenges and the Future" โดยคาดว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 2.7% แต่มองว่าควรขยายตัวได้มากกว่านี้ หลังจากในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ค่อนข้างมาก ขณะที่ปี 2566 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้เพียงแค่ 1.9% เท่านั้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไทย มองว่า ในระดับที่เหมาะสม ควรอย่างต่ำอยู่ที่ 2% ดังนั้น จำเป็นต้องพิจารณารอบด้านว่าวันนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพอะไร และต้องแก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องมองเงื่อนไขที่จะเดินไปข้างหน้า ซึ่งเรียกความความท้าทายและโอกาสที่จับต้องได้
"ปีนี้เดาว่า GDP จะขยายตัวได้ 2.7% บวกลบ คิดว่ามันควรจะมากกว่านี้ แต่มีน้ำท่วมเข้ามาแทรก ส่วนปี 2568 หากอยู่บนสิ่งที่เห็น การขยายตัวน่าจะได้ถึง 3% บวกลบ คิดว่า 3% มันเหมือนกับการอยู่ไปแบบไม่ได้มองว่าไทยมีศักยภาพอะไรบ้าง มีโอกาสอะไรบ้าง เราก็ยอมรับได้ แต่ก็คิดว่ามันควรจะขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่เราอาจจะมองลึกไปถึงตอนที่เศรษฐกิจเคยขยายตัวได้ถึง 5% เศรษฐกิจมันโตมาในระดับหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นคือเศรษฐกิจไทยน่าจะโตได้ที่ 3.5%" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวด้วยว่า นโยบายการเงินของไทยนั้น อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยก่อนหน้านี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.50% เป็นระยะเวลานาน แม้ล่าสุดจะลดลงมาอยู่ที่ 2.25% แล้ว แต่ก็ยังมีคนเรียกร้องให้ปรับลดต่ำลงอีก
"คนที่มีหนี้เยอะ ก็อยากเห็นอัตราดอกเบี้ยต่ำ คนให้เงินให้สินเชื่อ ก็อยากจะได้ดอกเบี้ยสูง ดังนั้นสภาพคล่องจึงดูเหมือนหายไปจากตลาด แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ เพราะปัญหาที่แท้จริงคือคนไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ ไม่ได้เป็นเพราะเราไม่มีสภาพคล่อง จริง ๆ แล้วเรามีสภาพคล่องเกินด้วยซ้ำ ขณะที่การลงทุนของไทยก็มีการลงทุนน้อย เราจึงตกอยู่ในฐานะที่เรียกว่า เป็นเศรษฐี แต่ไม่มีอนาคต เนื่องจากไทยมีการลงทุนต่ำ ซึ่งแตกต่างจากหลาย 10 ปีที่ผ่านมา" นายพิชัย กล่าว
รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวถึงภาวะหนี้ครัวเรือนของไทยว่า ปัจจุบันได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 89% ของ GDP หรือ 12 ล้านล้านบาท จากก่อนหน้านี้ ที่เคยขึ้นไปสูงกว่า 90% ของ GDP ซึ่งมองว่าไม่ควรจะมีหนี้เกิน 14 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ การที่หนี้ครัวเรือนไทยปรับลดลงมานั้น ไม่ได้มาจากการแก้ปัญหา แต่เป็นเพราะมูลค่า GDP ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับสถาบันการเงินชะลอการปล่อยสินเชื่อ ทั้งของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ SMEs สะท้อนว่าคนที่เป็นกำลังของประเทศ กำลังประสบปัญหาหนี้ท่วม ส่วนหนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ที่ 65-66% ซึ่งรัฐบาลพยายามรักษาวินัยการเงินการคลัง เพื่อไม่ให้สูงเกินกว่ากรอบวินัยการเงินการคลังที่ 70% ต่อจีดีพี
นายพิชัย กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนนั้น จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมา ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้รถกระบะ และหนี้ที่อยู่อาศัย โดยคาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ได้ ในขณะที่สถาบันการเงินก็มีโอกาสปล่อยสินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบมากขึ้น
ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ยังมีความต้องการเข้ามาลงทุนในไทยค่อนข้างมาก คิดเป็นวงเงินหลายแสนล้านบาท และต้องการลงทุนในระยะยาวมากขึ้น ซึ่งการเข้ามาปักฐานการลงทุนในไทย หากมีสัญญาเช่าที่ดินที่นาน เช่น 99 ปี ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดี แต่หากไม่มีสัญญาเช่าที่ดินระยะเวลาที่นานเช่นนี้ ก็อาจจะทำให้การเข้ามาลงทุนของต่างชาติเกิดยากขึ้น
"99 ปี คือ ในต่างประเทศ เขาเปิดโอกาสให้ต่างชาติใครอยากซื้อที่ดิน ก็ซื้อได้เลย ส่วนการเช่า ถ้าจะเอาที่เช่าไปขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก็ค่อนข้างยาก จึงเป็นที่มาของการเช่ายาว เพื่อมีสิทธิ์ในที่ดิน เช่น ทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่จะนำไปขอกู้กับสถาบันการเงินได้ แสดงว่ามีสิทธิในการใช้ ไปแบงก์กู้ได้ อย่ามองว่าทรัพย์พวกนี้จะตกไปที่ต่างชาติ อย่างที่ดินของรัฐที่เยอะนั้น ก็เอามาสร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้มีรายได้น้อย แล้วก็ให้เช่าในราคาถูกระยะเวลานาน" นายพิชัย ระบุ