ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 2.6-2.8% สูงกว่าประมาณการเดิม จากแรงขับเคลื่อนของการส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากวัฏจักรขาขึ้นของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งผลให้การส่งออกสามารถเติบโตได้ 2.5-2.9% สูงกว่าประมาณการเดิมที่ 1.5-2.5% ประกอบกับมีปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นกำลังซื้อ และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ
นอกจากนี้ มาตรการภาครัฐทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่กำลังจะทยอยออกมา อาทิ การช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและกลุ่มผู้ประกอบการ SME การปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปีเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างและสร้างความเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ขณะที่ในระยะถัดไปเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์น้ำท่วมเฉียบพลันในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวยังคงฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ สะท้อนจากผลการสารวจภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประกอบกับปัญหาสินค้าทุ่มตลาดที่ยังคงกดดันยอดขายของผู้ประกอบการในประเทศ
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และมาตรการเพิ่มกำลังซื้อคูณ 2 เช่น E-Receipt เป็นต้น ในช่วงต้นปีหน้าให้กับประชาชน รวมทั้งการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยกกร. สนับสนุนการปรับกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี และจะมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความเข้าใจในรายละเอียด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อระบบและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. กล่าวว่า จริง ๆ มองว่า GDP ปีนี้ควรโตได้ถึง 3% แต่มีสถานการณ์น้ำท่วมทำให้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี โดยเฉพาะกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ นอกจากนี้ ต้องเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจในระยะยาว ส่งเสริมให้คนมาลงทุนมากขึ้น
สำหรับความคืบหน้าหลังจากพูดคุยกับรัฐบาล พร้อมยื่นสมุดปกขาวนั้น นายสนั่น กล่าวว่า รัฐบาลให้ผลตอบรับในทางบวก เช่น ตอบรับโครงการคูณ 2 ไปแล้ว มาตรการ Easy E-Receipt ที่กกร. อยากให้ดำเนินการอย่างช้าต้นปีหน้า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า อาจจะให้เป็นของขวัญให้ประชาชนได้เลยหรือไม่
นอกจากนี้ ในสมุดปกขาวที่เสนอนายกรัฐมนตรีไปนั้น ยังได้เสนอให้ขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไปที่จังหวัดปราจีนบุรีด้วย ซึ่งนายกฯ ค่อนข้างเห็นด้วย
ส่วนการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) อาจให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุม และประชุมปีละ 2 ครั้ง ซึ่งนายกฯ ก็ตอบรับ และเห็นว่ากกร. มีความจริงใจในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ว่าจะทำอย่างไรให้ GDP ปี 68 โตได้ 3% หรือไปถึง 3.5% ได้
ที่ประชุมกกร. สนับสนุนแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามที่สมาคมธนาคารไทย กระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ทั้งรายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก ที่มีภาระหนี้สูง และประสบความยากลำบากในการชำระหนี้ โดยมุ่งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อ SME รายเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่สูง และมีปัญหาเริ่มค้างชำระ อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ 31 ต.ค. 67 ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไม่ใช่มาตรการที่มุ่งแก้ปัญหาชั่วคราว
นายสนั่น กล่าว ในวันที่ 14 พ.ย. นี้ ได้รับนัดจากผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยกกร. ได้เตรียมมาตรการต่าง ๆ ที่จะพูดคุยแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องที่ประชาชนถูกยึดรถกระบะนั้น ได้มีการพูดคุยกับรมว.คลัง ซึ่งรับปากว่าจะคุยกับธนาคาร บริษัทที่ปล่อยลิสซิ่ง ปล่อยเช่าให้
โดยรัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการดึงทุกภาคส่วนเข้าสู่ระบบ รวมถึงฐานข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อให้ทุกฝ่ายทราบถึงภาระและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ได้ไม่ก่อให้เกิดภาระหนี้เกินกำลังหรือเกินความจำเป็น และเพื่อให้มีข้อมูลในการให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด เหมาะสมและเป็นธรรม ลดรอยรั่วที่เป็นต้นทุนแฝงในระบบ เช่น การเสริมทักษะแรงงาน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นทรัพยากรขับเคลื่อนธุรกิจ SME พร้อมเสริมศักยภาพการแข่งขัน สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการ SME เช่น มีมาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการประมูลงานภาครัฐ
สำหรับแหล่งเงินทุนในมาตรการจะมาจาก 2 ส่วน คือการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ทั้งระบบเหลือ 0.23% และเงินสนับสนุนจากภาคธนาคาร โดยรายละเอียดของมาตรการทางธปท. และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา และจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติต่อไป