ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2567 และในปี 2568 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันต่อมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาท และอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และมีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อย เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้ น้ำตาล ไก่ และข้าว เป็นต้น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงราว 50-100% ของรายได้รวมทั้งหมดของแต่ละอุตสาหกรรม อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ทำให้ผู้นำเข้าสามารถหันไปสั่งซื้อสินค้าจากคู่แข่งมาทดแทนได้ จึงเป็นกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากกว่ากลุ่มสินค้าส่งออกในภาคอุตสาหกรรม
สำหรับทิศทางการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญในปี 2568-2569 ได้แก่ *ข้าว
- ในปี 2568 คาดว่า ภาพรวมมูลค่าการส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ -25%YoY จากปริมาณการส่งออกข้าวที่ลดลงมาอยู่ที่ราว 7.8 ล้านตัน หรือ -18.1%YoY จากนโยบายควบคุมการส่งออกข้าวของอินเดียที่ผ่อนคลายลง ทำให้อานิสงส์จากการที่ผู้นำเข้าข้าวหันมานำข้าวไทยทดแทนอินเดียหมดลง และส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับลดลง โดยคาดว่าราคาส่งออกข้าวขาว 5% เฉลี่ยของไทยจะอยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน หรือ -7.6%YoY ประกอบกับยังต้องติดตามปัญหาต้นทุนค่าขนส่งที่คาดว่ายังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมข้าว
- ส่วนในปี 2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกข้าวไทยจะอยู่ที่ราว 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ -6%YoY โดยในแง่ปริมาณการส่งออกข้าวอยู่ที่ราว 7.6 ล้านตัน หรือ -2.7%YoY จากแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่ต่ำกว่าของประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม และจุดขายของสายพันธุ์ข้าวไทยเริ่มไม่เป็นจุดแข็งในการส่งออก เนื่องจากข้าวพันธุ์พื้นนุ่มของเวียดนามมีราคาถูกและรสชาติดีกว่า ซึ่งโดยรวมปริมาณการส่งออกข้าวทั้ง 2 ปีนับว่าอยู่ในระดับต่ำหากเทียบกับในช่วงปี 2557-2561 ที่เคยส่งออกได้เฉลี่ยปีละ 9-10 ล้านตัน
- ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกยางแผ่นและยางแท่งจะอยู่ที่ 3.80 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 3.83 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ -11.6%YoY และ -1.5%YoY ตามลำดับ ตามราคาส่งออกยางแผ่นยางแท่งที่ -16.6%YoY และ 5.5%YoY จากผลผลิตยางพาราตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่คลี่คลาย แม้ว่าปริมาณการส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.0%YoY และ 4.0%YoY ตามลำดับ ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก อีกทั้งภาคการผลิตในจีนที่ค่อยๆ ฟื้นตัว ทำให้ความต้องการใช้ยางเพื่อเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์ในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าการผลิตรถยนต์ในจีนในปี 2568-2569 จะมีจำนวน 27.1 ล้านคัน และ 27.6 ล้านคันตามลำดับ จาก 26.1 ล้านคัน ในปี 2567
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามความรุนแรงของปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจทำให้การส่งออกยางแผ่นยางแท่งของไทยขยายตัวต่ำกว่าที่คาด
- ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกน้ำยางข้นจะอยู่ที่ 8.80 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 8.94 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ หรือ -13.6%YoY และ -0.5%YoY ตามลำดับ ตามราคาส่งออกที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.3 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน และ 1.2 พันเหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ หรือ -16.6%YoY และ -5.5%YoY ตามลำดับ ตามผลผลิตยางพาราโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการส่งออกในปี 2568-2569 คาดจะเพิ่มขึ้น 3.0%YoY เป็น 0.65 ล้านตัน และ5.0%YoY เป็น 0.69 ล้านตัน ตามลำดับ จากความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตในอุตสาหกรรมยางทางการแพทย์
- ตั้งแต่ปี 2568-2569 ผลผลิตมันสำปะหลังคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ จากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก อีกทั้งการควบคุมการระบาดของโรคใบด่างให้อยู่ในวงจำกัดมากขึ้น ส่วนการนำเข้าหัวมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านคาดจะเพิ่มขึ้น หากไม่มีปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังระบาดรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้มีผลผลิตเพียงพอต่อการส่งออกเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในจีนที่ยังมีความต้องการนำเข้ามันสำปะหลัง เนื่องจากความต้องการข้าวโพดของจีน (สินค้าทดแทนมันสำปะหลัง) ยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนจากปริมาณข้าวโพดต่อสต็อกข้าวโพดของจีนที่ยังสูงอยู่ที่ราว 1.5 เท่า (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2562-2566 ซึ่งอยู่ที่ 1.4 เท่า) อย่างไรก็ตาม การส่งออกต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับราคาข้าวโพดในจีนที่มีราคาถูกกว่า
- จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น คาดว่า ในปี 2568-2569 มูลค่าการส่งออกมันเส้นและมันอัดเม็ดจะอยู่ที่ราว 593 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 640 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 22%YoY และ 8%YoY ตามลำดับ โดยปริมาณการส่งออกจะอยู่ที่ 2.8 ล้านตัน และ 3.1 ล้านตัน ขยายตัว 25%YoY (ขยายตัวสูงจากฐานที่ต่ำในปี 2567) และ 10%YoY ตามลำดับ แต่ก็เป็นระดับการส่งออกที่ไม่ได้สูงกว่าช่วง Peak ในช่วงปี 2564-2565
- สำหรับในปี 2568 ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศ และราคาส่งออกจะอยู่ที่ 7.5 บาท/กก. และ 233 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (-2%YoY และ -3% YoY) ส่วนในปี 2569 ราคาเฉลี่ยมันเส้นในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 7.4 บาท/กก. และ 228 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (-1%YoY และ -2%YoY)
- คาดว่าในปี 2568-2569 มูลค่าการส่งออกแป้งมันสำปะหลังจะอยู่ที่ราว 2,615 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 2,667 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 3%YoY และ 2%YoY ตามลำดับ โดยปริมาณส่งออกจะอยู่ที่ 4.4 ล้านตัน และ 4.5 ล้านตัน ขยายตัว 6%YoY และ 4%YoY ตามลำดับ
- สำหรับในปี 2568 ราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 17.6 บาท/กก. และ 524 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (-2%YoY และ -3%YoY) ส่วนในปี 2569 ราคาเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังในประเทศและราคาส่งออกจะอยู่ที่ 17.5 บาท/กก. และ 514 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามลำดับ (-1%YoY และ -2%YoY)
- ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้งจะอยู่ที่ 7.0 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 7.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 11.3%YoY และ 9.8%YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากปริมาณผลผลิตผลไม้ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาทุเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่จูงใจให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนมากขึ้น อีกทั้งผลผลิตต่อไร่ของผลไม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้ออำนวย ประกอบกับความต้องการบริโภคผลไม้เมืองร้อนของชาวจีนยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
อีกทั้งคาดว่าการส่งออกจะได้รับประโยชน์จากการขนส่งผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการขนส่งผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ย ภายหลังทางการจีนเปิดด่านท่าเรือกวนเหล่ยเป็นด่านนำเข้าผลไม้สดจากต่างประเทศแห่งใหม่ในมณฑลยูนนานตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค. 2567 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง และเพิ่มทางเลือกการขนส่งผลไม้ทางภาคเหนือของไทย
อย่างไรก็ดี การส่งออกไปจีนเผชิญปัจจัยท้าทายจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น ภายหลังมาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2567 ขณะที่เวียดนามและฟิลิปปินส์เร่งขยายการส่งออกทุเรียน ซึ่งอาจทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นกระทบการส่งออกผลไม้ของไทย
- ในปี 2568-2569 คาดว่า มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4,528 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 4,844 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัว 7.4%YoY และ 7.0%YoY ตามลำดับ และปริมาณการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูปจะอยู่ที่ 1.16 ล้านตัน และ 1.21 ล้านตัน หรือขยายตัว 3.6%YoY และ 4.3%YoY ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีทิศทางฟื้นตัว ตามการเติบโตของการท่องเที่ยวและธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ความต้องการนำเข้าไก่แปรรูปเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการส่งออกไก่แปรรูปของไทยไปญี่ปุ่นที่ยังขยายตัว ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคอาหารพร้อมทาน
รวมทั้งการระบาดของไข้หวัดนกในญี่ปุ่นและสหภาพยุโรปจะช่วยหนุนการนำเข้าไก่เนื้อของไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจะยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในจีน อีกทั้งยังได้รับผลดีจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ในจีนและเวียดนาม ทำให้มีการนำเข้าไก่เนื้อเพื่อทดแทนสุกรมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังซาอุฯ เนื่องจากซาอุฯ เป็นประเทศผู้นำเข้าไก่รายใหญ่อันดับ 6 ของโลก ประกอบกับภาครัฐของไทยมีการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไก่ ซึ่งเป็นไก่ฮาลาลไปยังซาอุฯ เพิ่มขึ้น หลังจากการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตทั้ง 2 ประเทศ
Krungthai COMPASS มองว่า แม้การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี 2568 จะขยายตัวได้ แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนี้
- นโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งอาจทำให้สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งการที่สหภาพยุโรปได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าของจีน ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นอาจกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของจีนอย่างยางพาราที่พึ่งพาการส่งออกไปจีนสูงถึงราว 40% ของมูลค่าการส่งออกยางพาราทั้งหมดของไทย
- ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น อาจกดดันต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทจะทำให้รายได้จากการส่งออกในรูปเงินบาทมีแนวโน้มลดลง และอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
- ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ อาจกระทบต่อต้นทุนการส่งออก ทำให้ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยยังได้รับแรงกดดันจากต้นทุนค่าขนส่งทางเรือที่แม้มีแนวโน้มลดลงในปี 2567-2568 แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง นอกจากนี้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์มีความรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยที่พึ่งพาตลาดตะวันออกกลางในสัดส่วนที่สูง เช่น สินค้าในกลุ่มข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น
- ปัจจัยท้าทายจากมาตรการสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าที่เข้มงวดขึ้น เช่น กฎหมายที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้เข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรป (EU Deforestation-free products: EUDR) แม้ว่าล่าสุด คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย EUDR ออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยควรวางแผนและเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย EUDR ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนการส่งออกของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มยางพารา และปาล์มน้ำมัน
- สภาพอากาศที่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรในหลายประเทศโดยเฉพาะในเอเชียทยอยเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบทำให้คู่ค้ามีความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการผ่อนคลายนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศต่างๆ เช่น นโยบายจำกัดการส่งออกข้าวของอินเดียที่มีการผ่อนคลายลงในช่วงเดือน ต.ค. 2567 จะเป็นปัจจัยกดดันราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้า เป็นต้น